การดูแลผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุมาจากการติด “แอลกอฮอล์” หรือ “สารเสพติด” ต้องให้ความใส่ใจมากเป็นทวีคูณ ตั้งแต่ต้นทางคือ “ครอบครัว” ไปจนถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สถานพยาบาล แล้ววนกลับมาที่ ชุมชน และครอบครัวอีกครั้ง นับเป็นวงรอบสำคัญในการฟูมฟักคนคนหนึ่งให้เป็นคนคุณภาพของสังคมต่อไป
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เครือข่ายงดเหล้า ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถานฟื้นฟูสมรรถภาพพลเมืองกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี และโรงพยาบาล อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี จัดโครงการค่ายสานพลังครอบครัวไทยต้านภัยวิกฤตจิตเวช ภายใต้ยุทธการ “การหักหอกเป็นดอกไม้” ในกิจกรรม “ร้อยใจให้โอกาสในอ้อมกอดของครอบครัว”
อารีย์ เหมะธุลิน ผู้จัดการเครือข่ายงดเหล้าภาคตะวันออกได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมค่ายสานพลังครอบครัวไทยต้านภัยวิกฤตจิตเวช ว่าที่กิจกรรมครั้งนี้ขึ้นก็เพื่อจัดขึ้นเพื่อสานพลังครอบครัวฯ แคร์ใจในชุมชน ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 14 ครอบครัว จากที่เราทำงานเรื่องเหล้าในชุมชน พบว่า คนที่เคยดื่มหนักมาก่อน เขาจะก้าวไปสู่สารเสพติดขั้นที่มากกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงในสังคม ที่เราไม่อาจมองผ่านได้ เมื่อลูกหลานของพวกเราก้าวพลาดไป เราต้องร่วมมือกันประคับประคอง เตรียมพร้อมดูแลให้พวกเขากลับคืนสู่ครอบครัว และอยู่ในชุมชน/สังคม ได้อย่างมีความสุข
ทั้งนี้ ภายในงานยังมี ณัฐชุตา ประสมศรี (คุณแม่น้องชบานามสมมุติ) อายุ 56 ปี เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาครอบครัวเรา อบอุ่นดีแม่ไม่เคย ดุด่าตีลูก แต่ต่อมาแม่มีสามีใหม่ ถือว่าเป็นพ่อเลี้ยงของน้องด้วย ส่วนตัวน้องเองก็เริ่มมีแฟน ทำให้เราสองแม่ลูก ห่างๆ กัน ไปเรื่อยๆ แม่รู้สึกว่าลูกไม่ค่อยใกล้ชิดกับแม่ เพราะน้องไปอยู่กับแฟน ขับรถส่งของ เพื่อนๆ ที่เขาดื่มเหล้าด้วยกันประจำ ใช้สารเสพติดกันเยอะ น้องก็ใช้ด้วยกันกับแฟน พอสังเกตอาการน้องเริ่มแปลกๆ พูดคนเดียว อาการฉุนเฉียว หงุดหงิดโมโหง่าย เขาจะเห็นบางสิ่งที่คนปกติไม่เห็น ได้ยินเสียงที่เราไม่ได้ยิน เหมือนหูแว่ว เมื่ออาการไม่ดีขึ้น แม่เลยปรึกษาทางแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาการน้องหนักมากขึ้น แม่เลยโทร.ตามเจ้าหน้าที่มารับตัว ซึ่งตอนนี้น้องมาบำบัดรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อำเภอนาดี นอกจากนี้ แม่เองก็ได้มาร่วมเข้าค่ายครอบครัว เพื่อเรียนรู้เข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ และรู้ถึงวิธีการดูแลร่างกาย จิตใจลูกเราให้กลับเป็นปกติให้ได้
“เมื่อลูกเป็นแบบนี้ แม่คิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจออกมาดูแลลูกก็คงจะไม่ได้ลูกกลับคืนมา แม่คิดว่าน้องต้องเข้ารับการบำบัดซึ่งแม่ก็ได้มาดูแลน้องได้ 2 เดือนแล้ว ขณะนี้ลูกดีขึ้น ประมาณ 50% แล้ว แต่เขายังจำบางเรื่องไม่ค่อยได้ แม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้เอาลูกกลับคืนมาเหมือนเดิม และคืนมาอยู่ด้วยกันกับครอบครัวสู่สังคมอย่างมีความสุข
นี่คือเสียงสะท้อนจากคุณแม่ที่มีลูกสาวได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่หาง่ายอย่างเหล้า และยาเสพติด แต่การจะคืนลูกของแม่ได้ ต้องใช้เวลา และความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการช่วยดูแล โอบอุ้มเขา
สอดคล้องกับที่ ปทุมรัตน์ เกตุเล็ก ประชาคมจังหวัดปราจีนบุรี อดีตพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มจิตเวช และยาเสพติด ซึ่งระบุว่า ปัญหา “ผู้ป่วยจิตเวช” ที่เพิ่มขึ้น ตามการระบาดของยาเสพติดที่ชุกชุมในปัจจุบัน แน่นอนว่าผลที่ตามมาคือปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายร่างกาย ลักขโมยในชุมชน คนที่จะแก้ไขได้ดีที่สุดคือชุมชน จึงมีการระดมสมอง ต่อยอดความสำเร็จจาก “ชุมชนคนสู้เหล้า” สู่การพัฒนาเป็น “ชุมชนล้อมรักษ์” ทำงานภายใต้ยุทธการ “หักหอกเป็นดอกไม้” เพื่อดูแลผู้ป่วยวิกฤตจิตเวชที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ และยาเสพติด ใช้ชุมชนเป็นฐานจัดกระบวนการ “พลิกใจให้เลิกยา” มีระบบดูแล ติดตามจนผู้ป่วยจิตเวชกลับคืนสู่สังคมได้สำเร็จ
ปทุมรัตน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เดิมชุมชนเกาะมะไฟ ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ชุมชนคนสู้เหล้าต้นแบบเข้มแข็งจัดการตนเองโดยใช้ “พลัง บวร เชื่อมใจ” ด้วยความศรัทธาที่มีต่อ หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเกาะมะไฟ สามารถสร้างความร่วมมือ แก้ไขปัญหาแอลกอฮอล์ และเกิดกระบวนการชวน ช่วย ชม เชียร์ เชิดชูเกียรติ นำบุคคลต้นแบบไปโชว์ แชร์ เชื่อม บุคคลต้นแบบ หัวใจหิน งดเหล้าเข้าพรรษา และหัวใจเพชรเลิกเหล้าจำนวนมาก จึงรวมพลังจัดตั้งชมรมคนหัวใจเพชร บ้านเกาะมะไฟ ขยายสู่งานบุญ ประเพณีปลอดเหล้า ซึ่งช่วยลดการทะเลาะวิวาท การก่อความรำคาญต่างๆ หลังจากนั้นเริ่มมีการทำบัญชีครัวเรือนพบว่าค่าใช้จ่ายลดลงเมื่องดดื่มเหล้า เกิดกลุ่ม “สตรีปันรักปลูกผักเลิกเหล้า” ชาวบ้านเกิดการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ร่วมแก้ไข และให้โอกาสคนที่เลิกเหล้าได้มาร่วมพัฒนาหมู่บ้านผลจากการดำเนินงานอาจจะยังไม่ใช่ชุมชนปลอดเหล้า 100%แต่นับว่าผลเป็นที่น่าพอใจ
และจากนั้นถึงต่อยอดเป็น“ยุทธการหักหอกเป็นดอกไม้” เพื่อสู้กับปัญหายาเสพติดที่ทำให้คนในชุมชนป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นดังที่กล่าวในตอนต้น ซึ่งยุทธการหักหอกเป็นดอกไม้เป็นหนึ่งในยุทธวิธีการดูแลผู้ป่วยวิกฤตจิตเวชและยาเสพติด ดำเนินการโดยคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับอำเภอ (พชอ.) ประจันตคาม และทุกภาคส่วนใน อ.ประจันตคาม ร่วมกันดูแล เนื่องจากผู้ป่วยขาดยา ครอบครัวหวาดกลัวไม่กล้าดูแล เกิดความก้าวร้าวอันตรายในชุมชน ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาพฤติกรรมรุนแรงในสังคม
โดยได้มีพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยยาเสพติดที่มีภาวะเสี่ยงต่อความรุนแรง (Serious Mental Illness with High Risk to Violence) ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบัน มีเป้าหมายเพื่อลดวิกฤตซ้ำ ด้วยระบบการดูแลผู้ป่วย SMI-V โดยการดูแลต่อเนื่องในชุมชน ในรูปแบบที่เข้มขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาและติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกันอาการกำเริบหรือก่อความรุนแรงซํ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันและแก้ไขโดยต้องเน้นการบำบัดรักษาเพื่อลดความก้าวร้าว และดูแลต่อเนื่องในชุมชน จัดระบบการดูแลให้ทานยาต่อเนื่อง ส่งผลให้ในลดความรุนแรงในชุมชน เพิ่มความปลอดภัยครอบครัว และชุมชน
“การดูแลเคสต่อเนื่องด้วยโมเดลร้อยใจให้โอกาสในอ้อมกอดของชุมชน ซึ่งมี 75 รายนั้น การดำเนินการผ่านมาเราสามารถ ติดตามดูแลได้ครบทั้ง 100% (75 ราย) โดยปัจจัยความสำเร็จในการดำเนินงานของอำเภอประจันตคาม คือทีมงานเข้มแข็ง มีความรู้ประสานสื่อสารความรุนแรงผ่านกรุ๊ปไลน์ “ปักหมุดหยุดวิกฤต” ติดตามครอบคลุม”
ปทุมรัตน์ ยังบอกอีกว่า การบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน “Community Based Treatment : CBTx) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ชุมชนล้อมรักษ์” เป็นการดูแล ผู้ใช้ยาเสพติดให้เกิดการบำบัดฟื้นฟูใกล้บ้าน หรือภายในชุมชนอย่างต่อเนื่อง มีกระบวนการ ตั้งแต่การค้นหา คัดกรอง บำบัดฟื้นฟู การลดอันตรายจากยาเสพติด และการติดตามดูแลช่วยเหลือทางสังคม “ปักหมุดหยุดวิกฤต”ง่ายๆ คือต้องทำงานกันเป็นทีมภายใต้โมเดล โมเดลร้อยใจให้โอกาสในอ้อมกอดของชุมชน” ประกอบด้วย ทีมโอบอุ้มทำหน้าที่คอยตักเตือน ทีมวิกฤต ส่งต่อ และการเจรจาร้านค้าในพื้นที่ ที่สำคัญคือ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในอนาคตจำเป็นต้องหา “เจ้าภาพร่วม” ทั้งคนในชุมชน และหน่วยงานหลักในพื้นที่ทั้ง ชุมชน เทศบาล อบต. ร่วมกันดูแลผู้ป่วยจิตเวชวิกฤตได้อย่างแท้จริง
“สุราเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นนำไปสู่การเกิดอาการทางจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น หลงผิด หวาดระแวง หูแว่ว ภาพหลอน พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง อาจทำร้ายตนเอง ผู้อื่น หรือทำลายทรัพย์สินมีผลกระทบต่อตัวเอง และทุกคนในครอบครัว นำไปสู่ภาวะพร่อง หรือการสูญเสียการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ เช่น การดูแลตนเอง เสียการทำหน้าที่ในครอบครัว การประกอบอาชีพ และการเข้าสังคม”
ด้าน นวรัตน์ นาคทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ตำบลบ้านหอย บ้านเกาะมะไฟ บอกว่า เริ่มต้นเราทำรณรงค์ชุมชนคนสู้เหล้า โดยชมรมคนหัวใจเพชรเลิกเหล้า จากนั้น เกิดการระบาดของสารเสพติดเมื่อพบผู้ป่วยก็แจ้งตำรวจ จับแล้วก็ปล่อยกลับ เป็นอยู่แบบนี้ จึงส่งตัวเข้าสู่ระบบการรักษาของหมอที่โรงพยาบาลจิตเวชประมาณ 1 เดือน แต่กลับออกมาแล้ว ญาติก็ไม่สามารถดูแลให้ผู้ป่วยกินยาได้ เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชที่ใช้สารเสพติด เขาจะอาละวาดคลุ้มคลั่ง ทุบตี พ่อแม่ ทำร้ายข้าวของในครอบครัว แล้วก็สร้างความเดือดร้อน ก่อความรำคาญก้าวร้าวให้กับชุมชน
การจะรับกลับมาในชุมชน ต้องปรับทัศนคติตัวเองก่อน เราต้องอ่อนโยนลง เราเห็นพยาบาลพูดจาดี แล้วคนป่วยเชื่อ คนป่วยยอมกินยากับพยาบาล ผู้ใหญ่ก็เอามาปรับใช้ ให้ความรัก/อ่อนโยน ชื่นชมเขา ทำให้เขามีตัวตน/คุณค่าในชุมชน/สังคม ผู้ป่วยจิตเวช เขารู้สึกได้ว่าใครจริงใจกับเขา คือ เราพยายามแสดงออกทุกวิถีทาง เพื่อให้เขารู้ว่า เราเป็นห่วงเขา ขณะนี้ที่ผู้ใหญ่ดูแลอยู่ 4 เคส เป็นสีเหลือง 3 Case (ที่ยังต้องกินยาอยู่) และ สีเขียว คือ สะอาดแล้ว 1 เคส (เรียกว่ารอด) นับเป็นความสำเร็จก้าวแรก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี