กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะผู้ปกครองไม่ควรตื่นตระหนก จากสถานการณ์การระบาดของโรคไข้อีดำอีแดง แต่ให้ระมัดระวังและเฝ้าสังเกตอาการในเด็ก ดูแลสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถหายได้เอง ทั้งยังมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายได้
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไข้อีดำอีแดง หรือ Scarlet Fever เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ (Group A Streptococcus) การแพร่ระบาดอาจเนื่องมาจากการกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และการสะสมของประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า immunity debt สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ยังมีโอกาสเป็นซ้ำได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไม่ได้อยู่ถาวร และเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส group A มีหลายสายพันธุ์ แต่มีเพียงบางสายพันธุ์ที่สร้างสารพิษนี้และทำให้เกิดโรคไข้อีดำอีแดง สายพันธุ์ที่พบว่าทำให้เกิดโรคนี้บ่อย ได้แก่ สายพันธุ์ที่มี emm type 12 และ emm type 1 การเฝ้าระวังและติดตามการระบาดของสายพันธุ์เหล่านี้จึงมีความสำคัญในการควบคุม
นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคไข้อีดำอีแดง พบได้บ่อยในเด็กช่วงอายุ 5-15 ปี เชื้อนี้สามารถติดต่อได้ง่าย ผ่านทางการไอ จาม สัมผัสสารคัดหลั่ง หรือใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อน หรือผ้าเช็ดหน้า กลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษได้แก่ เด็กในวัยเรียน ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัดอาการของโรคไข้อีดำอีแดง คือ ไข้สูง เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง มีจุดหนอง หรือฝ้าขาวบริเวณทอนซิล และมีผื่นแดงคล้ายกระดาษทราย ขึ้นตามลำตัวแล้วกระจายไปแขนขา ผิวแดงคล้ายถูกแดดเผา แต่บริเวณรอบปากจะซีด และมีลิ้นแดงคล้ายผลสตรอเบอร์รี่ บางรายอาจมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องร่วมด้วย การรักษาจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไตอักเสบ หรือไข้รูมาติก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วันหลังได้รับการรักษา ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้น เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามกำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้น หากรับประทานยาไม่ครบกำหนดอาจทำให้เชื้อยังหลงเหลืออยู่ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น โรคหัวใจรูห์มาติก หรือไตอักเสบ
ทั้งนี้ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของเด็กต่อไปอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากการรักษา เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากพบว่าเด็กมีอาการตัวบวม ปัสสาวะออกน้อยลง หรือปัสสาวะมีสีแดงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของภาวะไตอักเสบ หรือหากมีอาการเหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ ควรรีบนำเด็กไปพบแพทย์ทันที
.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี