“อำเภอปากคาด เป็นพื้นที่ติดชายแดนริมฝั่งโขง มีจำนวน 64 หมู่บ้าน มี 2 ตำบลที่ติดชายแดนแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและเกษตรกรรม จึงเป็นเส้นทางหนึ่งของการลำเลียงส่งต่อยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดเป็นจำนวนมาก”
ข้อมูลจากวีดิทัศน์แนะนำ “อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ” อำเภอชายแดนที่มีแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคณะสื่อมวลชนได้ติดตามคณะทำงานของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ลงพื้นที่ศึกษาดูงานช่วงวันที่ 27 - 28 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา โดยที่นี่อยู่ระหว่างดำเนินกิจกรรม “ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ คืนคนดีสู่สังคม” หลักสูตร 120 วัน สำหรับรุ่นแรก เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2567 และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. 2568
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคือผู้ติดยาเสพติดซึ่งต้องได้รับการบำบัด มีที่มาทั้งการสมัครใจบำบัดด้วยตนเอง ชุมชนร้องขอให้เข้ามาบำบัด ถูกส่งต่อมาจากศูนย์พักคอยนาคาล้อมรักษ์ ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรง และมาจากผู้ถูกจับกุมโดยด่านชุมชน กิจกรรมจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะไล่ตั้งแต่ “เดือนที่ 1” เน้นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ เช่น ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลุ่มย่อย “รู้จักตัวตน คุณคือใคร? เป็นอะไรถึงมาที่นี่?” ประเมินโรคสมองติดยา ประเมินสุขภาพผู้รับการบำบัด
“เดือนที่ 2” เริ่มมีวิทยากรเข้ามาฟื้นฟูด้านจิตใจและด้านสังคม เช่น พระภิกษุสงฆ์สอนการฝึกสมาธิ อบรมบ่มนิสัยให้ทำความดี เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี “เดือนที่ 3” เริ่มกระบวนการ “อาชีพบำบัด” เช่น ช่างซ่อมเครื่องยนต์ ทำอาหาร ทำของใช้ในครัวเรือน และ “เดือนที่ 4” เตรียมการอยู่ร่วมกันกับสังคมและชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม เตรียมการหาอาชีพหลังครบกระบวนการบำบัด
ในการดูงานครั้งนี้ มีคณะวิทยากรจาก สถานีตำรวจภูธรปากคาด ร่วมบรรยายและสาธิตการอบรมผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติด โดย พ.ต.ต.จิรากร สุวรรณศรี
กล่าวว่า สถานการณ์ยาเสพติดตามแนวชายแดน เจ้าหน้าที่ต้องตรวจตราเรือที่สัญจรในลำน้ำเพื่อสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ขณะที่ยาเสพติดซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการบำบัดส่วนใหญ่เคยใช้คือยาบ้า ส่วนเหตุผลที่ใช้ยาเสพติด มีทั้งความอยากรู้อยากเห็น เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดี เพื่อตอบโต้พ่อแม่
พร้อมแนะนำ “วิธีปฏิเสธหากถูกชักชวนให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” ซึ่งพร้อมตัวอย่างเปรียบเทียบ 3 รูปแบบ 1.ปฏิเสธอย่างไม่มั่นใจ ตอบไม่เต็มเสียง พูดคุยกับคนที่มาชวนเป็นเวลานาน ลักษณะนี้สุ่มเสี่ยงที่จะใจอ่อนแล้วไปตามคำชักชวนได้2.ปฏิเสธอย่างข่มเหง ข่มขู่จะเปิดเผยความลับหรือจะใช้กำลัง ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีเพราะอาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาท และ 3.ปฏิเสธอย่างมั่นใจ ตอบเต็มเสียง ให้เหตุผลเรื่องโทษภัยของยาเสพติด รีบเดินหนีให้เร็วไม่ต้องพูดคุยนาน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
พิทักษ์ คำดีบุญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) นากั้ง ต.นากั้ง อ.ปากคาดเล่าว่า โครงการศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ คืนคนดีสู่สังคม ได้รับการสนับสนุนจาก ป.ป.ส. โดย จ.บึงกาฬ ในรับการสนับสนุนมา 3 ปีแล้ว แต่ในส่วนของ อ.ปากคาด เพิ่งเริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรกซึ่งกระบวนการคัดกรองก่อนให้เข้าร่วมโครงการจะรวมถึงสภาพจิตใจและสมองเพื่อประเมินว่ามีโอกาสก่อความรุนแรง เป็นอันตรายต่อผู้เข้ารับการบำบัดคนอื่นๆ ระหว่างเข้าร่วมโครงการหรือไม่
“ตอนนี้ที่เข้าโครงการคืออายุ 20 ปีขึ้นไป หมายถึงที่อยู่ในโครงการ แต่ถ้าที่คัดกรองได้คือเยอะกว่านั้น พื้นที่ จ.บึงกาฬ เป็นพื้นที่ทำเกษตร คือยางพารา เขากรีดยางตอนกลางคืน บางคนก็ใช้เพื่อทำงาน แต่พอเขาใช้ไปนานๆ ทำให้สมองเขาเสีย ในกลุ่มวัยทำงาน แต่ในกลุ่มเด็กก็ความคึกคะนองอยากรู้อยากเห็นตามประสาของเด็ก – เยาวชน แต่ถ้าเป็นอายุ 20 30 40 ปีจะใช้เพื่อทำงาน” พิทักษ์ ระบุ
ก่อนหน้าที่โครงการศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ คืนคนดีสู่สังคม จะเดินทางมาถึง อ.ปากคาด ในส่วนของอำเภอข้างเคียงของ จ.บึงกาฬ ดำเนินการไปแล้วหลายรุ่น เช่น อ.โซ่พิสัย 3 รุ่น อ.เมือง 3 รุ่น และ อ.พรเจริญ 2 รุ่น ซึ่ง พิทักษ์ มองว่า ทำให้การดำเนินการของ อ.ปากคาด ง่ายขึ้นเพราะมีตัวอย่างให้ถอดบทเรียนแล้ว โดยหลังจากเสร็จสิ้นโครงการรุ่นแรก ก็จะประเมินผลเพื่อปรับปรุงหลักสูตรเตรียมการสำหรับรุ่นถัดไป
ทั้งนี้ จากประสบการณ์ทำงานด้านยาเสพติดมาหลายสิบปีความท้าทายคือเมื่อผู้เข้ารับการบำบัดสามารถเลิกใช้ยาเสพติดได้แล้ว เมื่อกลับไปอยู่ในชุมชนเดิมๆ สังคมเดิมๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะกลับไปใช้ยาอีก จึงเป็นที่มาของการจัดตารางกิจกรรม ไล่ตั้งแต่การรู้จักตนเอง ตามด้วยการป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ หากถูกชักชวนจะปฏิเสธอย่างไร การอยู่ในครอบครัว และสุดท้ายคือการคืนคนดีสู่สังคม โดยแจ้งให้ฝ่ายปกครองในท้องถิ่นทราบและรับช่วงต่อดูแล
“ดึงให้เขาเป็นคนดี เป็นคนที่มีประโยชน์ให้ได้ อย่าทำให้เขานึกว่าตัวเองเป็นคนติดยาแล้วไม่มีประโยชน์ คืออยู่ค่ายนี่สอนให้เขาว่าเขายังมีคุณค่า เขายังมีคุณค่ากับตัวเอง ยังมีคุณค่ากับชุมชน ยังมีคุณค่ากับครอบครัว ยังมีคุณค่าต่อประเทศชาติ” ผอ.รพ.สต. ปากคาด กล่าว
อารีภักดิ์ เงินบำรุง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ที่ผ่านมา ภารกิจของ ป.ป.ส. ที่ปรากฏบนหน้าสื่อมักเป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เช่น จับกุมและยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาเสพติดเฝ้าระวังการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทย แต่อีกด้านหนึ่งต้องมองเห็นความสำคัญของผู้พลั้งพลาด ว่าแม้จะพลาดไปใช้ยาเสพติดก็สามารถดึงกลับมาดูแลให้เป็นคนคุณภาพคืนกลับสู่ครอบครัวและชุมชนได้
เมื่อมีผู้เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงมีการเชิญผู้เสพซึ่งถือเป็นผู้ป่วยและผู้ปกครองมาพูดคุยกันเพื่อจัดการบำบัดรักษา โดยมีฝ่ายสาธารณสุขเข้ามาช่วย เพราะผู้เสพคือผู้ป่วยต้องได้รับการรักษา และเมื่อรักษาจนอยู่ในระดับที่สามารถฟื้นฟูได้ ก็ต้องฟื้นฟูดูแลไปจนถึงขั้นที่กลับบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึง “การมีอาชีพ” เพราะหากกลับบ้านไปแบบไม่มีงานทำ กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ก็มีโอกาสกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำอีก ซึ่ง ป.ป.ส. ก็มีทุนประกอบอาชีพให้กับผู้ผ่านการบำบัด สามารถติดต่อสอบได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส. ในพื้นที่ได้
“ขอบคุณทุกภาคส่วนของ จ.บึงกาฬ ที่สนับสนุนการทำงานลักษณะนี้จนเราต้องพาสื่อมวลชนมาดูว่าทำไมเราถึงได้ยุติปัญหาหรือแก้ปัญหาที่เป็นจุดสำคัญ เพราะถ้าเราไม่สนใจเรื่อง
ของการบำบัด จะกลายเป็นว่าคนที่เป็นบุคลากรสำคัญของประเทศต้องมาเสียหาย ก็กลับไปช่วยจังหวัดของเราไม่ได้ความเจริญเติบโตของจังหวัดเราก็ไม่มีแรงงานจะช่วย อันนี้เป็นจุดสำคัญ อีกอันที่เราอยากทำมากของ ป.ป.ส. คือการป้องกันการปลูกฝังให้คนตัดสินใจไม่ไปใช้ยาเสพติด” รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าว
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี