เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กับ “การประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97” เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 มี.ค. 2568 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา หรือตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 3 มี.ค. 2568 ตามเวลาประเทศไทย โดยออสการ์ครั้งนี้ “อโนรา (Anora)” ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาว่าด้วย “สาวขายบริการในสหรัฐฯ ที่พบรักกับลูกชายมหาเศรษฐีรัสเซีย” คว้าไปถึง 5 สาขา คือ ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ลำดับภาพยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และ “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” อันเป็นรางวัลไฮไลท์ของทุกปีที่คอหนังทั่วโลกรอลุ้น
เว็บไซต์ variety.com ของนิตยสารดังในสหรัฐฯ อย่าง Variety พาดหัวข่าว Mikey Madison Wins BestActress Oscar and Shouts Out Sex Worker Community:“I Will Continue to Support and Be an Ally” ระบุว่า ไมกี เมดิสัน (Mikey Madison) นักแสดงสาวที่คว้าออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Anora ให้กำลังใจ
ผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ (Sex Worker) ในตอนหนึ่งของคำกล่าวเมื่อขึ้นรับรางวัล ดังนี้
“..ฉันแค่อยากจะยอมรับและให้เกียรติชุมชนคนขายบริการทางเพศ ใช่ ฉันจะยังคงสนับสนุนและเป็นพันธมิตรต่อไปผู้คนที่น่าทึ่งมากมาย รวมถึงผู้หญิงที่ฉันมีโอกาสได้พบปะจากชุมชนนี้ ถือเป็นไฮไลท์ของประสบการณ์อันน่าทึ่ง..”
กลับมาที่ประเทศไทย ในวันที่ 3 มี.ค. 2568 ช่วงเช้ามีการจัดเสวนาหัวข้อ “ถึงเวลายกเลิกกฎหมายค้าประเวณี ผลักดันกฎหมายคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ” และการเปิดตัว (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับภาคประชาชน โดยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศ และพนักงานในสถานบันเทิง ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์
ที่มาที่ไปของวงเสวนาครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามต่อสู้เพื่อให้ยกเลิกความผิดอาชีพขายบริการทางเพศ (ในกรณีสมัครใจและไม่ใช่ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 18 ปี) ซึ่งปัจจุบันยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มีการเสนอร่างกฎหมายหลายแนวทาง โดยทางที่ไปได้ไกลที่สุดในขณะนี้คือ “(ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองการให้บริการทางเพศ พ.ศ. ....” ที่มี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเจ้าภาพ
ร่างกฎหมายดังกล่าวมีการระดมความคิดเห็นกันมาตั้งแต่ช่วงปลายรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และแม้จะเป็นช่วงหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 แต่กระบวนการจัดทำกฎหมายยังดำเนินต่อไป อาทิ ในเดือน พ.ค. 2566 ที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เว็บไซต์ law.go.th หรือระบบกลางทางกฎหมาย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ยังเปิดให้เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นร่างกฎหมายดังกล่าว
แต่เมื่อได้ สส. และรัฐบาลชุดใหม่ ผ่านการมีนายกฯ มาแล้ว 2 คน จาก เศรษฐา ทวีสิน สู่ แพทองธาร ชินวัตร ดูเหมือนข่าวคราวของ (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองการให้บริการทางเพศ พ.ศ. .... จะเงียบหายไป แม้จะมีการติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่กระทรวง พม. ในวันที่ 13 มิ.ย. 2567 และที่อาคารรัฐสภา ในวันที่ 2 ต.ค. 2567 จนในที่สุด มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ และภาคีเครือข่ายที่ร่วมขับเคลื่อน จึงได้ตัดสินใจเสนอ “(ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ พ.ศ. ....”เข้าสู่กระบวนการริเริ่มเสนอร่างกฎหมายโดยการเข้าชื่อกันของประชาชน
ในวงเสวนาเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2568 ศิริศักดิ์ ไชยเทศนักกิจกรรมอิสระและผู้ประกอบการ สรุปสาระสำคัญของ (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ พ.ศ. .... ดังนี้ 1.การขายบริการทางเพศในที่นี้หมายถึงเฉพาะผู้ที่สมัครใจไม่สนับสนุนให้มีการบังคับและไม่สนับสนุนให้ผู้เยาว์เข้ามาสู่อาชีพนี้ 2.ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ขึ้นทะเบียนผู้ขายหรือผู้ให้บริการทางเพศ แต่ขึ้นทะเบียนผู้ที่ต้องการตั้งสถานประกอบการที่มีการให้บริการทางเพศ ในลักษณะเดียวกับการจดทะเบียนสถานบริการประเภทอื่นๆ เช่น ร้านเหล้า ร้านนวด ฯลฯ
ซึ่งการที่สถานบริการทางเพศไม่มีกฎหมายรับรองนำมาสู่การต้องจ่ายส่วย ซึ่งการจดทะเบียนสถานบริการทางเพศจะทำให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศที่เป็นลูกจ้าง อาทิ สภาพการจ้างงานที่เป็นธรรมและปลอดภัย ไม่รับผู้มีอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้ามาทำงาน ไม่บังคับบุคคลใดให้มาทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ใบอนุญาตสถานบริการทางเพศจะต้องต่ออายุทุกๆ 3 ปี
3.สถานบริการทางเพศต้องไม่อยู่ใกล้สถานศึกษา ศาสนสถาน โรงพยาบาล ไม่มีลักษณะทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ และต้องมีมาตรการดูแลความปลอดภัย โดยอ้างอิงมาจากกฎหมายสถานบริการจำพวกผับ บาร์ คาราโอเกะ ร้านเหล้า 4.ผู้ประกอบกิจการสถานบริการทางเพศ มีหน้าที่จัดหาสวัสดิการด้านสุขอนามัยให้แก่พนักงานในสถานประกอบการ เพื่อให้เกิดการจัดบริการที่เหมาะสม 5.การเป็นนายหน้า เป็นธุระจัดหาบุคคลไปขายบริการทางเพศที่ปัจจุบันมีความผิดอยู่แล้วก็ยังคงให้มีความผิดเช่นเดิม เว้นแต่จะไปขึ้นทะเบียนจัดตั้งสถานบริการ
ขณะที่ มนัชญา (ตัวแทนพนักงานบริการ) กล่าวเสริมว่า ร่างกฎหมายที่กำลังผลักดันนี้หากผ่านออกมาบังคับใช้พนักงานบริการก็จะได้รับความคุ้มครองมากขึ้น ทั้งด้านสุขภาพ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน เช่น ถูกหักเงินเท่านั้นเท่านี้เมื่อเข้างานไม่ตรงเวลา จึงอยากให้กฎหมายฉบับเก่ายกเลิก และมีกฎหมายใหม่เพื่อรับรองให้พนักงานบริการถูกนับเป็นแรงงาน เมื่อรับเงินเดือนจะได้เสียภาษีและจ่ายประกันสังคม
ทฤษฎี สว่างยิ่ง ผู้อำนวยการเครือข่ายสุขภาพและโอกาส (HON) กล่าวว่า (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ฉบับภาคประชาชน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ เช่น การป้องกันและควบคุมโรค การส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ สิทธิในการตรวจรักษาและดูแลสุขภาพ บทบาทหน้าที่ของสถานประกอบการ อาทิ ต้องจัดหาถุงยางอนามัย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ ทั้งนี้ “พนักงานทางเพศยินดีจ่ายภาษีมากกว่าจ่ายส่วย” และรัฐก็เคยได้ภาษีจากคนกลุ่มดังกล่าว เช่น “ภาษีบำรุงถนน”ที่เก็บไปใช้ก่อสร้างและซ่อมแซมถนนหนทางโดยเฉพาะ
โดยภาษีบำรุงถนนนั้นเกิดขึ้นในยุคที่มี “พ.ร.บ.ป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)” เป็นกฎหมายที่ออกมาควบคุมสถานบริการและผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ แต่ยังถือว่าเป็นกิจการหรืออาชีพที่ถูกกฎหมาย ก่อนที่จะมีการออก “พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503” อันเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ระบุว่าการขายบริการทางเพศเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ก่อนจะมาถึงยุคของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539
ผศ.ดร.กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายไล่เรียงตั้งแต่ “สภาพปัญหาเชิงโครงสร้าง” เมื่อสภาพเศรษฐกิจบวกกับความคาดหวังให้ผู้หญิงต้องดูแลลูกและครอบครัวมากกว่าผู้ชาย ซึ่งผู้ขายบริการทางเพศจำนวนไม่น้อยนอกจากเป็นผู้หญิงแล้วยังเป็นแม่ด้วย “กฎหมายที่บังคับใช้ไม่ได้จริง” แม้จะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 แต่อุตสาหกรรมทางเพศกลับกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งมีข้อสังเกตว่า “การจับปรับมุ่งเฉพาะผู้ขายบริการตัวเล็กๆ มากกว่าธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่”แต่หากเปลี่ยนกฎหมายจากป้องกันและปราบปรามเป็นคุ้มครอง จะคุ้มครองได้ทั้งผู้ขายบริการทางเพศ ที่จะได้รับสถานะเป็นแรงงาน เข้าระบบประกันสังคม มีสัญญาที่เป็นธรรมไม่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกเก็บส่วย, เด็กและเยาวชน เพราะกฎหมายกำหนดความผิดผู้เป็นธุระจัดหาและผู้ใช้บริการทางเพศบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี,
ผู้ประกอบการ ด้านหนึ่งคือการไม่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกเก็บส่วย อีกด้านหนึ่งคือการกำหนดมาตรฐานผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานบริการทางเพศ เป็นการ
คัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการในวงการนี้เพื่อไม่ให้คนสีเทาๆ เข้ามา แต่ให้ได้ผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพ เข้าใจทั้งผู้ให้บริการและนักเที่ยว, สังคมโดยรวม เช่น กำหนดให้สถานบริการทางเพศต้องไม่อยู่ใกล้สถานศึกษา ศาสนสถาน เป็นต้น
ขณะที่อีกเวที คือวงเสวนา “8 มีนา วันสตรีสากล ยุคที่หญิงไทยยากจน ตกงาน เลี้ยงเดี่ยว ถูกทำร้าย หลอกอุ้มบุญ เร่ขาย มดลูก” ในวันเดียวกัน ณ โรงแรมทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ จัดโดยมูลนิธิเพื่อนหญิง มีการยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ แพทองธาร และพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน หนึ่งในข้อเสนคือให้ยกเลิกความผิดอาชีพขายบริการทางเพศ ในมาตรา 5 6 และ 7 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เช่นกัน
ต้องรอดูกันต่อไปว่า ในห้วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปีเศษๆ ของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาเมื่อใด?
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี