พา' ชาวนาถะ'ขึ้นเขาคิชกูฏศึกษาความรุ่งเรืองแห่งพุทธศาสนาผ่านมหาวิทยาลัยนาลันทา
"หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ" พา "ชาวนาถะ" ขึ้นเขาคิชกูฏ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอัครสาวกพร้อมท่องประวัติศาสตร์ผ่านห้องเรียนธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ศึกษาประวัติศาสตร์แห่งพุทธศาสนา ร่องรอยแห่งความบอบช้ำที่หลงเหลือ หลังความรุ่งเรืองอย่างสุดขีดใน พ.ศ.900-1000
นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ พาชาวนาถะขึ้นเขาคิชกูฎ เพื่อน้อมสักการะกุฏิพระพุทธเจ้า, พระอานนท์, พระสารีบุตร, พระโมคัลลานะ และพระมหากัสสปะ
ก่อนหน้าที่ชาวนาถะจะขึ้นเขาคิชกูฏ "หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ" ได้พาชมรอยเกวียนในกรุงราชคฤห์ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สมัยครั้งพุทธกาลเป็นกรุงราชคฤห์ เป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งที่อยู่ในแคว้นมคธ จากทั้ง 16 แคว้น ที่มีความเจริญด้านการคมนาคม การค้าขาย และ ด้วยความเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งในชมพูทวีปทำให้พระเจ้าพิมพิสาร พระมหากษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ มีอำนาจสามารถเป็นองค์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ตามคำอธิษฐานของพระเจ้าพิมพิสาร และตามด้วยเข้าศึกษาเรียนรู้วัดเวฬุวัน ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายแด่พระพุทธองค์
หลังจากนั้น “หมอบี ฑูตสื่อวิญญาณ”พาชาวนาถะเข้ากราบพระองค์ดำ และ เข้าห้องเรียนธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยนาลันทา เมืองนาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย กว่า 3 ชั่วโมง เพื่อย้อนเวลาแห่งความรุ่งเรืองของพุทธศาสนา ผ่านการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งมีพระสงฆ์ทั่วโลกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทากว่า 30,000 ชีวิต และเดิมมีพื้นที่กว่า 4,000 ไร่
เว็บไซต์มหาบุญโฮมดอทคอม (www.mahabunhome.com) ระบุว่ามหาวิทยาลัยนาลันทาเริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะ ราวพุทธศตวรรษที่ 3 (ตรงกับ พ.ศ.201-300) และมีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุคหลายสมัยโดยประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาและต่อมามีการก่อสร้างส่วนอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นมาอีกมากมายและนับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์คุปตะ,ราชวงศ์ปาละและพระเจ้าแผ่นดินแห่งชวาสุมาตรา อินโดนีเซีย เป็นต้น
ราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 (ตรงกับ พ.ศ. 701-800) นาคารชุน คณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธินิกายมหายานได้เดินทางไปยังปูชนียสถานสำคัญๆหลายแห่งพร้อมกับท่านอารยเทวะผู้เป็นศิษย์ แล้วท่านก็ได้เดินทางมาถึงนาลันทา
หลังจากท่านนาคารชุนเดินทางมาถึงนาลันทาราว1-2 ศตวรรษ“มหาวิทยาลัยนาลันทา”ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนาของนิกายมหายานที่สำคัญยิ่ง
ในราวพุทธศตวรรษที่9ได้เกิดคณาจารย์ที่สำคัญ ของนิกายมหายานขึ้นอีกท่านหนึ่งนามว่า“อสังคะ”เป็นผู้ประกาศหลักธรรม“ลัทธิโยคาจาร”โดยท่านได้ใช้ช่วงเวลา 12 ปีสุดท้าย แห่งชีวิตของท่านที่นาลันทาแห่งนี้
เมื่อพระภิกษุอสังคะได้มรณภาพลง น้องชายของท่านมีนามว่า “ภิกษุวสุพันธ์”ผู้เป็นนักปราชญ์คนสำคัญแห่งลัทธิโยคาจารได้เป็นประธานสงฆ์บริหารมหาวิทยาลัยนาลันทาสืบต่อมาและในสมัยคุปตะซึ่งจัดเป็นยุคทองแห่งประวัติศาสตร์ของอินเดียโดยในยุคนี้มีพัฒนาการในด้านต่างๆเกี่ยวกับชีวิต,วัฒนธรรมและแนวความคิดทางศาสนาของอินเดียได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง
พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล ยังเขียนไว้ว่า ศิลาจารึกตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดีได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ได้เป็นศาสนาทางราชการตลอดทั่วทุกแคว้นในมัชฌิมประเทศ
แม้ประเทศอินเดียเป็นแดนพุทธภูมิ แต่ปัจจุบันอินเดียมีผู้นับถือศาสนาฮินดูมากที่สุด 79.8% รองลงมาคือ อิสลาม 14.2% ขณะที่ศาสนาพุทธชาวอินเดียนับถือเพียง0.7% จากจำนวนประชากรทั้งหมด 13 ล้านคน ขณะที่วัดไทยในอินเดียมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีวัดไทยเรียงรายตามเส้นทาง 4 สังเวชนียสถานจำนวนมาก เพื่อดำเนิการรักษาไว้ให้ครบซึ่งพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ขอบคุณภาพบางส่วนจากช่างภาพเพจประเทดอุบล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี