ผ่านพ้นไปแล้วกับการเปิดตัวรายงานเชิงนโยบายเผยแผนยุทธศาสตร์ “ปลดล็อกศักยภาพชายแดนประเทศไทย” โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือกับ ธนาคารโลก (World Bank) เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งชี้ว่า พื้นที่ชายแดนไทยมีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เอื้อให้เติบโตได้ต่อเนื่อง พร้อมเป็นประตูสู่การค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน
“พื้นที่ชายแดนของไทยใน 31จังหวัดแม้ว่าจะตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่กลับเป็นไปในอัตราที่ช้า ไม่เหมาะสมกับศักยภาพทางภูมิศาสตร์” โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในพื้นที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศถึง 34% อีกทั้งแรงงานในพื้นที่ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการเกษตร ในขณะที่แรงงานในอุตสาหกรรมที่มูลค่าสูง เช่น อุตสาหกรรมการผลิต คิดเป็นเพียง 12% จะเห็นได้ว่าภาคเศรษฐกิจสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเหนือและอีสาน คือ ภาคเกษตร ส่วนในภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา แม้ว่าประชากรจะประกอบอาชีพหลากหลายและมีฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงกว่า แต่ยังคงตามหลังภูมิภาคอื่นของประเทศ
“ผลจากรายงานฉบับนี้ได้ระบุว่า การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones: SEZs) ในพื้นที่ชายแดน 10 จังหวัด ไม่ได้ผลตามที่ตั้งเป้าไว้ทั้งหมด” เขตเศรษฐกิจพิเศษในบางจังหวัด เช่น สงขลาและสระแก้ว ได้ใช้จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ เพื่อขยายตลาดและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ในพื้นที่ชายแดนอื่นๆ ยังประสบความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง
อาทิ ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบที่ไม่สอดคล้องกัน และการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นการนำเสนอกรณีศึกษาของ 5 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงราย สงขลา สระแก้ว หนองคาย และมุกดาหาร โดยหากเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 5 จังหวัดนี้ได้รับการเยียวยาและพัฒนาอย่างเพียงพอ จะสามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างก้าวกระโดด
“จากพื้นที่ในการศึกษาเชิงลึกพบว่าจังหวัดมุกดาหารมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี” โดย GPP ต่อหัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% ระหว่างปี 2554-2563 อีกทั้งยังได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งติดกับแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ซึ่งมีประชากรหนาแน่น “แต่แม้จะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง มุกดาหารกลับได้คะแนนต่ำสุดจาก 5 จังหวัดในกรณีศึกษา” เนื่องจากอัตราการย้ายถิ่นฐานที่สูง สัดส่วนประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ และโอกาสทางการศึกษาขั้นสูงที่จำกัด นอกจากนี้ แม้ว่าประชากรราวครึ่งหนึ่งจะอาศัยอยู่ในเขตเมือง แต่ไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมหรือเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน
สำหรับจังหวัดสงขลาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอาเซียน โดยมีจุดผ่านแดนที่รองรับการเดินทางเกือบ 7 ล้านครั้ง และมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 878,000 ล้านบาทในปี 2565 อีกทั้งยังมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลาย ส่งผลให้ “สงขลาได้รับคะแนนสูงสุดจาก 5 จังหวัดในกรณีศึกษา” อย่างไรก็ตาม “สงขลาประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน” อันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านวีซ่าและทักษะที่ไม่ตรงต่อความต้องการตลาด โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ เช่น ท่าเรือน้ำลึกและระบบรางเดี่ยว รวมถึงกระบวนการรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลที่ซับซ้อน
“กลยุทธ์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ ควรเน้นการนำศักยภาพในพื้นที่ที่มีจุดผ่านแดนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นประตูการค้าการลงทุน แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตร มายกระดับพัฒนาให้สอดคล้องกับความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านคุณภาพของแรงงานที่ยังมีช่องว่างทางทักษะ การขาดโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ การบูรณาการทำงานและวางนโยบายของหน่วยงานต่างๆ ให้เอื้อต่อการค้า” รายงานระบุ
นอกจากนี้ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า ภาครัฐควรจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายแดนเพื่อบริหารจัดการกลยุทธ์การลงทุนและประสานความร่วมมือด้านนโยบายให้ได้ประโยชน์สูงสุด สุดท้ายแล้ว การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างกัน และการบรรจุจังหวัดชายแดนไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติและภูมิภาค จะเป็นกุญแจสำคัญสู่อนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืนของประเทศ
สตีเวน รูบินยิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงสาธารณภัยธนาคารโลก กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ชายแดน ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย การพัฒนาชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพต้องดำเนินการแบบองค์รวม โดยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการศึกษา และการบริหารจัดการ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพชายแดนประเทศไทย
รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า การเจริญเติบโตของภูมิภาคอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องเห็นความเจริญเติบโตซึ่งเป็นรั้วของประเทศทำให้เมืองชายแดนมีคุณภาพมากขึ้น ควรยกระดับกลไกการพัฒนาพื้นที่ สร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่และเมืองชายแดนที่ครอบคลุมในแต่ละมิติและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน รวมถึงผลักดันแผนพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดน และสร้างโอกาสการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ของคนในพื้นที่เมืองชายแดนเทียบเท่าคนในเมือง
ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน “ธัชภูมิ” กล่าวถึงที่มาของงานนี้ว่า หน่วย บพท. ได้เล็งเห็นปัญหาการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถกำกับนโยบายของประเทศอื่นได้ สิ่งที่ไทยจะทำได้คือทำให้พื้นที่เมืองชายแดนของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่กระจายความเจริญพอที่จะสร้างศูนย์กลางความเจริญไปสู่ภูมิภาคได้ ภายใต้โครงการวิจัยการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ซึ่งการจัดการปัญหาที่ซับซ้อนและความต้องการระบบ Area base Approach ที่จะเข้ามาสร้างกลไกการจัดการเสริมกับกลไกที่ทำงานแบบ Function base เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานได้คือความรู้ ข้อมูล ที่จะทำให้เกิดการมองเป้าที่ชัดเจนและจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา และจะจัดการปัญหาตรงไหน รวมถึงมองเห็นว่ากลไกไหนต้องปฏิบัติอะไร ทั้งกลไกระดับนโยบายและกลไกระดับพื้นที่
และเชื่อมั่นว่า จากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจะทำให้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับพื้นที่ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความร่วมมือเพื่อทำให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาที่เรามองเห็นได้อย่างชัดเจนร่วมกันได้จากกลไกการจัดการความร่วมมือโดยใช้ความรู้ และข้อมูล ได้อย่างยั่งยืนต่อไป!!!
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี