“นโยบายอเมริกามาก่อนเป็นมาทุกยุคทุกสมัย แต่เป็นเรื่องใหม่คือไม่เคยมีใครที่กล้าพูดแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องเขินอายอีกต่อไป ดังนั้นทรัมป์เห็นว่าระเบียบโลกที่อดีตผู้นำสหรัฐฯ ได้จัดให้กับโลกหลังจากที่เขาชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเป็นระเบียบโลกบนพื้นฐานของหลักสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย เสรีนิยมในหลักเศรษฐศาสตร์ ทรัมป์เห็นว่าสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบ เห็นว่าเป็นสิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนใหม่หมด เพราะฉะนั้นขณะนี้ทรัมป์กำลังเริ่มจัดระเบียบโลกใหม่แทนระเบียบโลกเดิม แต่ยังเป็นหลักการเดิมว่าสหรัฐฯ มาก่อน”
พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวในวงเสวนาหัวข้อย่อย “ผลกระทบ Trade War ต่อธุรกิจและแนวทางการแก้ปัญหา” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนา “Trade War 2025 : จะรับมือกับ Trump อย่างไร?” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ฉายภาพนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำมาโดยตลอด
อาทิ ในยุคสมัยของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) เคยกล่าวสุนทรพจน์ “อย่าถามว่าสหรัฐฯ จะทำอะไรให้กับท่าน แต่ขอให้ถามว่าท่านกับสหรัฐฯ จะร่วมกันเพื่อจะปกป้องเสรีภาพกันอย่างไร” ในขณะที่ทรัมป์นั้นเปลี่ยนคำถามเป็น “อย่าถามว่าสหรัฐฯ จะทำอะไรให้กับท่าน แต่ขอให้ถามว่าท่านทำอะไรให้สหรัฐฯ บ้าง” ซึ่งทรัมป์นั้นถามแล้วกับยุโรป
ขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งพยายามเอาใจทรัมป์ ก็ยังถูกทรัมป์ตั้งคำถามเพิ่มอีกว่า “กองกำลังสหรัฐฯ ที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างมากมาย เพื่อปกป้องความมั่นคงของญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นช่วยปกป้องความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง” ซึ่งความมั่นคงของสหรัฐฯ ในความหมายของทรัมป์ คือผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและการลักลอบนำเข้ายาเสพติดไม่ว่าจะมาจากส่วนใดของโลกก็ตาม ดังที่ทรัมป์ตั้งคำถามนี้กับประเทศเพื่อนบ้านทางเหนือและใต้ของสหรัฐฯ อย่างแคนาดาและเม็กซิโกตามลำดับ
และต้องบอกว่า “สิ่งที่ทรัมป์ตั้งคำถามนั้นเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันที่เลือกทรัมป์ต้องการคำตอบ” ซึ่งแม้ระเบียบโลกเดิมอย่างโลกาภิวัตน์จะสร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐฯ อย่างมหาศาล แต่คนที่เสียประโยชน์คือคนที่ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ หรือแม้แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็ยังเลือกทรัมป์ เนื่องจากทรัมป์มีนโยบายลดภาษี ในขณะที่ “ซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เป็นที่ประทับใจในสายตาชาวโลก เป็นสิ่งที่ทรัมป์ไม่เข้าใจ
ท่านทูตพิศาล ยกตัวอย่างที่น่าสนใจ “ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ มีกฎหมายห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันไปมีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นในต่างประเทศ แต่ทรัมป์ได้ใช้คำสั่งประธานาธิบดีระงับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไว้ เนื่องจากเห็นว่าทำให้เสียเปรียบบริษัทจากชาติอื่นที่ไม่มีข้อห้ามดังกล่าว” ภาพลักษณ์ที่สวยงามซึ่งสหรัฐฯ เคยสร้างไว้ ในสายตาของทรัมป์นั้นมองว่าไม่เป็นประโยชน์
ย้อนไปในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรกของทรัมป์ (ต้นปี 2560 - ปลายปี 2563) เคยพยายามจะลดภาษีนิติบุคคลให้เหลือเพียงร้อยละ 19 แต่รัฐสภาอนุมัติให้ได้ที่ร้อยละ 21 และเมื่อทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็จะเหมือนเดิม ซึ่งวันที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะจะเห็นหุ้นและความมั่งคั่งของบรรดาเศรษฐีในสหรัฐฯ ขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นหากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับไทย กลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือนักธุรกิจที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ
แต่กลุ่มที่เสียประโยชน์ 1.กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างสมัยแรกของทรัมป์ มาร่วมประชุมกับอาเซียนด้วยตนเองเพียงครั้งเดียว นอกนั้นเป็นการส่งตัวแทนมา 2.ผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ และ 3.ผู้ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคที่มีผู้นำจากพรรคเดโมแครต เช่น ในกรณีของไทย ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอาจดีใจที่ทรัมป์เข้ามา เพราะเม็ดเงินจากสหรัฐฯ ที่ไหลผ่านองค์กรอย่าง USAID หรือ NED มาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนหนุ่ม-สาวในไทย ทรัมป์จะจัดการไม่ให้มีซึ่งไม่ใช่ว่าทรัมป์เข้าใจการเมืองไทย แต่ทรัมป์ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเอาเงินไปช่วยประเทศอื่นเพื่ออะไรในเมื่อชาวอเมริกันเองยังลำบาก
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์ เมื่อปี 2560 นโยบาย “ทำให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” มาจากแนวคิดที่ว่าสหรัฐฯ เสียดุลการค้าประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนที่แข็งแกร่งขึ้นจนกลายมาเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อีกทั้ง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ยังประกาศว่า จีนจะไม่ใช่ประเทศที่ผลิตแต่สินค้าราคาถูกอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นผู้นำด้านสินค้าเทคโนโลยี
การมาของทรัมป์สมัยแรก ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน “ต้องการหยุดความร้อนแรงของจีน” ซึ่งที่จีนเติบใหญ่ขึ้นมาได้ก็ด้วยหลายปัจจัย ทั้งผู้ประกอบการทั่วโลกย้ายฐานการผลิตไปตั้งในจีน บวกกับการมีตลาดขนาดใหญ่ภายในประเทศ “ความน่ากลัวของจีนคือกำลังการผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว” เป็นที่มาของการประกาศ “สงครามการค้า (Trade War)” โดยทรัมป์ เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของจีน
มีการขึ้นภาษีจากจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสินค้าจำนวนมาก และแนะนำให้ผู้ประกอบการจากประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน จากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ก็กลายเป็นโลกแบ่งขั้ว (Deglobalization หรือ Decoupling) ซึ่งมีการย้ายใน 3 รูปแบบ คือ 1.ย้ายไปประเทศที่เป็นพันธมิตรด้วยกัน เช่น มาประเทศไทย หรือชาติในกลุ่มอาเซียน กับ 2.ย้ายกลับประเทศแม่ ในกรณีเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงหรือเป็นความลับ และ 3.ย้ายไปประเทศที่อยู่ใกล้สหรัฐฯ คือแคนาดากับเม็กซิโก
และแม้สหรัฐฯ จะเปลี่ยนผู้นำจากทรัมป์ เป็น โจ ไบเดน (ต้นปี 2564 - ปลายปี 2567) แต่ท่าทีของสหรัฐฯ ก็ยังคงมองจีนเป็นศัตรูสำคัญ จากสงครามการค้าเพิ่มเติมด้วยสงครามเทคโนโลยี (Tech War) เช่น จำกัดการถ่ายทอดหรือส่งออกสินค้าประเภทเทคโนโลยี แต่ในกรณีของไทย เวลานั้นได้ประโยชน์ เพราะสินค้าที่ผลิตในไทยแล้วส่งไปสหรัฐฯ โดยตรง กลายเป็นของทดแทนสินค้าที่ผลิตในจีน เช่น เครื่องปรับอากาศ ที่ถึงขั้นผลิตไม่ทันความต้องการสั่งซื้อส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ เลื่อนจากอันดับ 14 ขึ้นมาเป็นอันดับ 11
“ขณะนี้เราพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออก 17% ของการส่งออกทั้งหมด และตัวเลขเราก็ขึ้นไปตลอด ล่าสุดเราจะเห็นว่าปลายปี 2567 แล้วก็ต้นมกราคม (2568) ยอดการส่งออกของเราพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ว่าเมื่อมาดูแล้วปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีความย้อนแย้ง เพราะดัชนีภาคการผลิตลดลง แต่ในขณะที่ยอดการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นการคาดเดาว่าอาจเกิดจากการสวมสิทธิ์ในการนำเข้าสินค้าจากที่อื่นแล้วมาแปลงร่างที่ประเทศไทยแล้วส่งออกไปแทนด้วยบริษัทที่มาจดทะเบียนอยู่ในประเทศไทย
หรือนำเข้าสินค้าที่เป็นชิ้นส่วน 80-90% แล้วใช้ของท้องถิ่นแค่ 10% แล้วแปลงร่างไป สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งที่เราเห็นภาพเหล่านี้เกิดขึ้น ฉะนั้นโอกาสที่เราจะโดนจับตาดูมีสูง เพราะสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักธุรกิจ แล้วรอบกายก็เป็นนักธุรกิจชั้นนำที่เก่งมาก ฉะนั้นเขาเข้าใจว่ามันจะเป็นอย่างไร เขาเลยตัดตอนเสียเลย เอาทุกประเทศ เพราะทุกประเทศที่ไปมันมีการย้ายฐานไปใช้ฐานลักษณะเดียวกันส่งเข้าอเมริกา วันนี้เขามองเลยว่าตัวเลขถ้าขาดดุลเป็นอย่างไรเขาจะจัดการที่ตัวนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สำคัญ” ประธาน ส.อ.ท. กล่าว
ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สงครามการค้ารอบแรกของทรัมป์พุ่งเป้าไปที่จีน แต่รอบนี้ต้องการจัดการกับทุกประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า เช่น นอกจากจีนแล้วยังตามด้วยแคนาดากับเม็กซิโก แต่ระลอกถัดไปที่คาดว่าจะเริ่มในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ประเทศที่เสี่ยงคือ อินเดีย เวียดนาม เกาหลีใต้และไทย ตามเป้าหมายคือการดึงการผลิตทุกอย่างกลับไปที่สหรัฐฯ
“โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าคนไทยยังไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบของเรื่องนี้มากนัก ครั้งสุดท้ายที่เรามีปัญหาเรื่องการค้าโลก Trade War กลับไปสมัยที่ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ตอนนั้นมีการทำสงครามการค้ากันทั่วโลก แล้วต้องอย่าลืมว่าคราวนี้อาจเริ่มที่สหรัฐฯ ก่อน แต่เราเริ่มเห็นแล้วว่ามีประเทศอื่นๆ ก็คล้ายๆ เลียนแบบ เริ่มทำตามบ้างไม่ใช่เฉพาะสหรัฐฯ อย่างล่าสุดก็มีจีนไปขึ้นภาษีกับแคนาดา คือถ้าเกิดมันเป็นอย่างนี้ทั่วโลก มีความเป็นไปได้ว่าถ้าทิศทางแบบนี้ การที่เราจะกลับไปสมัย Great Depression (เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่) ก็มีส่วนได้” ดอน กล่าว
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี