ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า Electoral Body ของบทความนี้ เป็นคนละเรื่องกับ Electoral College และ Electoral Vote ในระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) ซึ่งสหรัฐอเมริกาใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
Electoral College และ Electoral Vote น่าจะมีผู้คนรู้จัก จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และแม้แต่ประเทศที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential Democracy) เช่นฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ ก็ไม่มี Electoral College หรือ Electoral Vote
องค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body)
ตามความหมายของบทความนี้ จะพูดเฉพาะประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)ที่ประเทศไทยใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2475 องค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) ก็ได้แก่
1.องค์กรเลือกตั้งผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (ElectoralBody of the Legislative Power) แทนปวงชนชาวไทย
ได้แก่คนไทยที่เข้าคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 95 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ปัจจุบันก็เขียนให้กว้างไว้ โดยใช้หลัก Universality ให้ประชาชนที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และมีความรับผิดชอบตนเองได้ และไม่เข้าคุณสมบัติต้องห้าม มาจากทุกอาชีพ หรือแม้แต่ไม่มีอาชีพ ก็เป็นองค์กรเลือกตั้ง (หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง) ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทยได้(สส. และ สว.) เพื่อได้ตัวแทนจากประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกอาชีพ ให้กว้างขวาง (universal) ที่สุด
2. องค์กรเลือกตั้ง ผู้ใช้อำนาจตุลาการ (ElectoralBody of the Judiciary Power) แทนปวงชนชาวไทย
ได้แก่บุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านกฎหมายจำนวนหนึ่ง ที่ผ่านการคัดเลือก สอบแข่งขัน จนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เข้าเกณฑ์เป็นองค์กรเลือกตั้ง ผู้ใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชนชาวไทยได้
3. องค์กรเลือกตั้งผู้ใช้อำนาจบริหาร (Electoral Body of the Executive Power) แทนปวงชนชาวไทย
กลับมิใช่ผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหาร จนเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับ ว่าจะสามารถบริหารประเทศได้ หรือในหนึ่งอาจจะเรียกว่า “นักบริหารมืออาชีพ” (Professional Executive)
แต่กลับกลายเป็น สส., สว. ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งให้มาใช้อำนาจนิติบัญญัติ แทนปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว ให้เข้ามาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย อีกหน้าที่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีผลงานหรือประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ ประชากิจ และรัฐกิจ มาก่อน แต่ถ้ามีเสียง สส., สว. ในสังกัดมากพอ ก็จะเป็นหัวหน้าผู้ใช้อำนาจบริหาร (Chief Executive Power หรือนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) ได้เลย
องค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) ในประเทศไทยน่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้น ในเดือนตุลาคม2516 ซึ่งนำความว่างเปล่า (หรือสุญญากาศทางการเมือง)มาสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516
พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในการแก้ปัญหาบ้านเมือง
เหตุการณ์เริ่มต้นจากการรวมตัวของเหล่านักศึกษาและประชาชน เพื่อเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลทหารลาออกจากตำแหน่ง และจัดการเลือกตั้ง เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516
ความจริง ประเทศไทย มีรัฐบาลทหารบริหารประเทศมานานกว่า 20 ปีได้แก่ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2492, รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ พ.ศ. 2501ถึง พ.ศ. 2506 และรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อมาถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516
การเดินขบวนในครั้งนั้นก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เกินจะควบคุมได้ มีการทำลายและทำความเสียหายต่อสถานที่ราชการต่างๆ ซึ่งอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นจากผู้เดินขบวน ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, สำนักงานปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและสถานีตำรวจนางเลิ้ง เป็นต้น อีกทั้งมีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการสลายการชุมนุมทำให้เหตุการณ์บานปลายจนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้ มาจากความทรงจำของผู้เขียนเอง เท่าที่จะจำได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยต่อสถานการณ์เป็นอย่างมาก จึงมีรับสั่งให้ จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น) เข้าเฝ้าฯ และทรงแนะนำให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อความสงบของบ้านเมืองจอมพลถนอมได้น้อมรับคำแนะนำของพระองค์ท่านด้วยดีและลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นได้เดินทางออกนอกประเทศไปพำนัก ณ ประเทศสิงคโปร์ รวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2515 ที่เขียนขึ้นโดยรัฐบาลจอมพลถนอม ได้ถูกยกเลิกไปเช่นกัน
ทุกท่านคงทราบกันดีว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีอำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น 3 ด้าน ซึ่งเราต้องเลือกบุคคลมาเป็นผู้แทนของเราในการใช้อำนาจต่างๆ คือ
อำนาจนิติบัญญัติ ผู้แทนในการใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชนจะมาจากการเลือกตั้งทั่วไป
อำนาจตุลาการ เป็นวิชาชีพ ด้านกฎหมาย ผู้แทนของเราจึงจะได้รับการสรรหาและคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านตุลาการ มิได้มาจากการเลือกตั้งทั่วไป
และในส่วนของ อำนาจบริหาร อันเป็นเรื่องของความสามารถในการบริหารจัดการประเทศ แต่คณะผู้ใช้อำนาจบริหารตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่เราใช้อยู่ในขณะนั้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะมาจากคะแนนเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และวุฒิสมาชิก (สว.)
หลังจากจอมพลถนอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเดินทางออกนอกประเทศไป อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2515 ยังถูกยกเลิก ประเทศไทยจึงตกอยู่ในสุญญากาศทางการเมือง (Political Vacuum)
ตามระบอบการปกครองของไทยนั้น พระมหากษัตริย์ทรงไม่ยุ่งเกี่ยว กับการเมือง แต่เมื่อมีวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้น ในฐานะที่พระองค์เป็นประมุขของประเทศ ก็จำต้องทรงหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งในจุดนี้ พระองค์ จะต้องจัดให้มีคณะผู้แทนของทั้ง 3 อำนาจเพื่อใช้อธิปไตยแทนประชาชนชาวไทย
สำหรับอำนาจบริหาร พระองค์ทรงแต่งตั้งศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา ผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างประจักษ์ชัด ให้เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล (หรือนายกรัฐมนตรี) ในช่วงวิกฤตดังกล่าว
อำนาจตุลาการ เป็นสถาบันที่มีความมั่นคงอยู่แล้วและที่มาของอำนาจตุลาการก็ได้รับการยอมรับจาก ทุกภาคส่วนพระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใช้อำนาจตุลาการปฏิบัติหน้าที่ตามตัวบทกฎหมายต่อไป
ส่วนอำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดของอำนาจอธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจออกเป็นสามส่วน เพราะเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมายต่างๆ ให้ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหาร, รวมทั้ง กระทรวง, ทบวง, กรม, ภาคเอกชน และ ประชาชนนำไปปฏิบัติ ทั้งอำนาจในการอนุมัติงบประมาณต่างๆ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงอำนาจในการตรวจสอบและควบคุมการบริหารงานของฝ่ายบริหารกล่าวคือ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล
จากเหตุการณ์เดินขบวน เป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจาก รัฐบาลทหารสู่พลเรือน ซึ่งทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “ใครจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ” ซึ่งนอกเหนือจากการกำกับการบริหารงานของรัฐบาลชั่วคราวของ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์แล้ว ยังจะต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะเป็นแนวทางการบริหารประเทศต่อไป
ซึ่งต่อมาก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2518
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ร.9) (สวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559) ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงมีพระอัจฉริยภาพยิ่งนัก พระองค์ทรงคิดค้น องค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) ที่เป็นรูปแบบของไทยโดยไม่ได้ไปลอกแบบจากใครมา
พระองค์ท่านทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง (ผ่านทางราชเลขาธิการและเลขาธิการพระราชวัง) ให้สรรหาบุคคลประมาณ 5,000 คนที่เป็นคนดี มีคุณธรรม มีศีลธรรม และมีความซื่อสัตย์ มาเป็นองค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) จากนั้นให้บุคคลเหล่านี้จัดการเลือกตั้งกันเอง ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียง 1 ถึง 299 จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ท้ายที่สุดมีบุคคลที่ได้รับการสรรหาประมาณ 3,000 คน
ขณะนั้นผู้เขียนเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ได้รับโทรศัพท์จากราชเลขาธิการ (หม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์) ให้เสนอชื่อบุคคลที่ดีจำนวน 20 คน โดยไม่บอกเลยว่าจะเอาชื่อนั้นไปทำอะไร เพียงแต่บอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับ
ผู้เขียนเชื่อว่าอธิบดีท่านอื่นๆ, ผู้ว่าราชการจังหวัด, นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียง และผู้มีชื่อเสียงในจังหวัดต่างๆ ก็คงได้รับการติดต่อจากท่านราชเลขาฯ เช่นกัน
หลักจากรวบรวมรายชื่อ “คนดีศรีสยาม” แล้ว ซึ่งมีทั้งหมด 2,347 คน ก็ได้จัดการเลือกตั้งกันเองภายใน ณ ราชตฤณมัยสมาคมฯ (สนามม้านางเลิ้ง) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2516 โดยมีกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นประธาน
ในช่วงเวลานั้น ผู้เขียนได้เดินทางไปร่วมประชุมกับองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อผมได้รับแจ้งเรื่องการ จัดการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเลือกสมาชิกจำนวน 299 คน จาก 2,347 คน ณ สภาสนามม้า ผู้เขียนจึงรีบเดินทางกลับมาทันที โดยที่ไม่มีเวลาในการหาเสียงร่วมกับกลุ่มใดๆ เลย
ผลปรากฏว่า บุคคลทั้ง 20 คน ที่ผู้เขียนเสนอชื่อไปนั้น ไม่มีคนไหนได้รับเลือกเลย อาจเป็นเพราะทุกคนที่ผมเสนอชื่อไปนั้น เป็น ผู้อำนวยการกองการช่างต่างๆ ของกรมไปรษณีย์ โทรเลข, เป็นผู้อำนวยการเขตไปรษณีย์โทรเลข หรือ นายไปรษณีย์ภูมิภาค ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นคนดี มีคุณธรรม มีศีลธรรม และมีความซื่อสัตย์ แต่ไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเสียงแก่ผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะองค์กรเลือกตั้งทั้ง 2,347 คนนั้น
ส่วนตัวผู้เขียนก็จับพลัดจับผลู ได้รับเลือกเป็นสมาชิกอันดับที่ 55 จาก 2,347 คน อาจเป็นเพราะผู้เขียนในวัย 40 ปี ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข จึงทำให้เป็นที่รู้จักพอสมควร
ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ได้รับเลือกจากทั่วประเทศ อาทิ คุณเกษม จาติกวณิช (กรุงเทพ), คุณชนะ รุ่งแสง (สมุทรปราการ), คุณบรรหาร ศิลปอาชา (สุพรรณบุรี), คุณสุรินทร์ มาศดิตถ์ (สุราษฎร์ธานี), คุณเจริญ สุวรรณมงคล (ปัตตานี), คุณจรัส เทือกสุบรรณ (สุราษฎร์ธานี) เป็นต้น
นั่นคือพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9ที่ทรงคิดค้นองค์กรเลือกตั้งขึ้นมา เพื่อใช้อำนาจอธิปไตยในนามของประชาชนชาวไทย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่องค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) เป็นผู้เลือกตั้งผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ
และสภานิติบัญญัติแห่งชาติจากสภาสนามม้า (ซึ่งทำงานระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ถึง วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2518) นับได้ว่าเป็นสภานิติบัญญัติที่ดีที่สุดสภาหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยมีมา สุดท้ายการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นลงในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งนำการปกครองระบอบประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อประชาธิปไตย มีสามอำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใช้อำนาจทั้งสาม แทนปวงชนชาวไทย (หรือ Electoral Body) จึงควรจะมีที่มา ที่แตกต่างกัน ให้เหมาะสมกับลักษณะที่แตกต่างกันของอำนาจทั้งสาม และยังจะสร้างความมีเสถียรภาพให้แก่ฝ่ายบริหาร ความสมดุลแห่งอำนาจ (Balance of Powers) ขึ้นในระบอบประชาธิปไตยแบบสมดุล (Balanced Democracy) หรือประชาธิปไตยแบบไทยคิด รวมทั้งแก้ปัญหาวงจรอุบาทว์ (vicious circle) ปัญหาการเมืองน้ำเน่า ปัญหาการแพร่หลายของการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาการแตกแยกกันเป็นสี เป็นพรรคต่างๆ กัน และปัญหาความล้าหลังในการพัฒนาประเทศจนไม่ทันประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ที่ก้าวหน้าไปไกลเกินเราไป หลายต่อหลายประเทศแล้ว เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น
เราจะพายเรือกันอยู่ในอ่าง ต่อไปอีก 93 ปี
หรืออย่างไร
ผู้เขียนเชื่อว่า หาก ผู้ใช้อำนาจทั้งสามของประชาธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย มีที่มาที่แยกกันเด็ดขาดเป็นอิสระจากกัน มีการถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม กำกับดูแลซึ่งกันและกัน ก็จะแก้ปัญหา วงจรอุบาทว์ และปัญหา การเมืองน้ำเน่า ได้แน่นอน
ประเทศไทยจะได้ไม่วิ่งตามหลัง แต่จะกลับมาวิ่งให้ทันเพื่อนๆ ในอาเซียน และประเทศเพื่อนบ้านได้เสียที
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี