เป็นที่ทราบกันดีว่า ในวันที่ 15 มีนาคมของทุกปีถือเป็น “วันสิทธิผู้บริโภคสากล” หรือ World Consumer Rights Day ซึ่งองค์กรผู้บริโภคทั่วโลก จะร่วมกันรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสิทธิผู้บริโภค การคุ้มครองในมิติต่างๆ การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริโภค และองค์กรผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
หัวข้อรณรงค์ถูกกำหนดโดยสหพันธ์ผู้บริโภคสากล ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมสมาชิกจากหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยในปีนี้ 2025 กำหนดหัวข้อรณรงค์ A Just Transition to Sustainable Lifestyles หรือ “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของโลก ทั้งภาวะโลกร้อน ปัญหามลพิษ และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน สอดคล้องกับการผลักดันกฎหมาย “เลม่อน ลอว์” ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ส่งเสริมความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล
สำหรับประเทศไทย โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 340 องค์กร ได้ร่วมกันจัดงานวันสิทธิผู้บริโภคสากล 2025 “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” ซึ่งมุ่งเน้นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 14-15 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ภายในงานมีการบรรยายพิเศษ รวมทั้งปาฐกถา เวที Consumer Talk การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop)การจัดนิทรรศการ
โดยมุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริโภคที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในบริบทของวิถีชีวิตในด้านต่างๆ ทั้งการอุปโภค-บริโภคสินค้าและบริการ การคมนาคม ที่อยู่อาศัย และการใช้พลังงานและเพื่อยกระดับสิทธิของผู้บริโภคไทยให้ทัดเทียมระดับสากล พร้อมทั้งส่งเสียงพลังของผู้บริโภค ในการร่วมกันสร้างข้อเสนอนโยบายที่ส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมต่อหน่วยงานภาครัฐ บนพื้นฐานความมีส่วนร่วมขององค์กรสมาชิก หน่วยงานระดับพื้นที่ คณะกรรมการนโยบาย ผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาคประชาชน
น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่าโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วทำให้เกิดปัญหาใหม่ เช่น สิทธิในการบริโภคที่ยั่งยืน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการเข้าถึงการคุ้มครองทางดิจิทัล ซึ่งยังไม่ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายปัจจุบัน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รับรองเพียง 5 สิทธิเท่านั้น จึงต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ในปี 2568 นี้ สภาผู้บริโภคและเครือข่ายกว่า 340 องค์กร จะเดินหน้าผลักดันมาตรการและนโยบายส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน เน้นให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในราคาที่เหมาะสม พร้อมทั้งเสริมพลังให้เสียงผู้บริโภคมีอิทธิพลในการกำหนดอนาคตของการบริโภคที่เป็นธรรม
“เราขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเพราะสิทธิผู้บริโภคคือรากฐานสำคัญของชีวิตที่มั่นคง และเป็นกุญแจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” น.ส.บุญยืนกล่าว
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สิทธิผู้บริโภคในประเทศไทยยังไม่เทียบเท่ามาตรฐานสากล เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ระบุสิทธิผู้บริโภคเพียง 5 ข้อ ได้แก่ การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้า, สิทธิในการเลือกสินค้า, การได้รับความปลอดภัยจากสินค้า, สิทธิในการทำสัญญาอย่างเป็นธรรม และการได้รับการชดเชยความเสียหาย ซึ่งปัญหาต่างๆ เช่น มลพิษ PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต
“เราจะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่การบริโภคที่ยั่งยืน โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ, เอกชน, และประชาชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน” เลขาธิการกล่าว “เราขอเชิญชวนทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดวิถีชีวิตที่ยั่งยืน” น.ส.สารี กล่าว
นายวิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนต้องอาศัยพลังของผู้บริโภค ซึ่งมีบทบาทมากกว่าการเลือกซื้อสินค้า โดยสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้หลายทาง เช่น การสื่อสาร แบ่งปันความรู้การบอยคอตต์สินค้า หรือแม้กระทั่งการร่วมกันฟ้องร้อง นอกจากนี้ยังต้องผลักดันให้มีกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่มีมาตรฐานสากลและมีตัวแทนผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วม
“ผู้บริโภคไม่ได้มีอำนาจแค่การซื้อสินค้า แต่สามารถกำหนดทิศทางตลาดและวัฒนธรรมได้ โดยพลังอำนาจของเราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านการซื้อ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การแบน หรือบอยคอตต์สินค้า และการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง” นายวิทูรย์ กล่าว
ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันมนุษย์ต้องเผชิญกับสองปัญหาใหญ่ คือ ราคาพลังงานที่แพงเพราะการผูกขาดและทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงผลกระทบจากการใช้พลังงานที่ทำให้โลกร้อนและเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น การสูญเสียปะการัง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของอาหารทะเล ในโลกปัจจุบัน ผู้บริโภคควรเป็น “Prosumer” หรือผู้บริโภคที่สามารถผลิตได้ด้วย เมื่อก่อนเราแค่ซื้อไฟฟ้าและจ่ายเงินออกไป แต่ตอนนี้เราได้มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ เช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านมือถือที่สามารถส่งและรับข้อมูลได้ พร้อมกัน
“สิ่งที่เราขาดคือความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะดูแลโลกและรับผิดชอบต่อมัน ซึ่งสามารถทำได้ หากไม่แก้ปัญหาโลกร้อนตอนนี้ในอนาคตจะไม่มีใครแก้ได้ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก เราต้องร่วมมือกันในฐานะ Prosumer ที่แอ๊กทีฟในการแก้ปัญหาโลกร้อน” ผศ.ประสาท กล่าว
นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปริมาณขยะในกรุงเทพฯลดลงจาก 11,000 ตันต่อวัน ก่อนโควิด-19 เหลือ 9,000 ตันในปัจจุบัน เนื่องจากประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการคัดแยกขยะมากขึ้น แต่ยังมีความท้าทายในการส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการส่งเสริมการรีไซเคิล การทำปุ๋ยหมัก หรือการแปรรูปเป็นแก๊สชีวภาพ ขณะเดียวกัน องค์กรใหญ่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าและตลาด ก็มีโครงการ Zero Waste โดยส่งเสริมการคัดแยกขยะ และจัดเก็บเศษอาหารไปหมักปุ๋ยหรือเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งมีภาคเอกชนที่รับซื้อขยะรีไซเคิลถึงที่ ในอนาคต กทม.จะเพิ่มเตาเผาขยะอีก 2 โรง เพื่อรองรับขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ โดยมีเป้าหมายเผาขยะได้ 2,005 ตันต่อวัน
นายพรพรหม กล่าวเพิ่มเติมว่า การคัดแยกขยะในภาคประชาชนยังมีความท้าทาย เนื่องจากกรุงเทพฯ มีมากกว่า 2 ล้านครัวเรือนที่ต้องจัดการขยะ ดังนั้น จึงมีโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม” โดยจะมีการเพิ่มค่าธรรมเนียมการเก็บขยะจาก 20 บาท เป็น 60 บาทต่อเดือน เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ แต่หากคัดแยกขยะและลงทะเบียนในแอปพลิเคชั่น BKK Waste Pay จะได้รับส่วนลดเหลือ 20 บาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนคัดแยกขยะมากขึ้น
น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ระบุถึงสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่และของภาคเหนือในปี 2568 ว่า ดีกว่าปี 2567 แต่ไม่ได้หมายความว่า ปี’69,70 จะดีไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและการลดการเผาให้ได้มากที่สุดถึงจะทำให้สถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้น ทั้งนี้รวมถึงในระดับนโยบายที่จะดูแล การปรับเปลี่ยน วิถีการเกษตร มีทั้งนโยบายเกี่ยวกับป่าไม้ ที่ดินสิทธิที่ทำกิน ต้องดำเนินการให้ชัดเจนขอบเขตของชุมชน รัฐ รวมทั้งนโยบายสนับสนุนเติมงบประมาณ ให้ องค์การบริหารส่วนตำบล กระจายอำนาจ ในการดูแลแก้ปัญหาเรื่องไฟป่า ลดการเผา ทำแนวกันไฟ การป้องกันไฟการเผชิญไฟ ในช่วงที่เกิดไฟขึ้น
ขณะที่ นางชโลม เกตุจินดา หน่วยงานเขตพื้นที่ภาคใต้สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ปัญหาที่ค่อนข้างจะพีคอย่างเช่นช่วงโควิด-19 มีการสั่งของออนไลน์จำนวนมากอาหาร food delivery พวกนี้เป็นขยะ single use สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นพฤติกรรมต่อเนื่องมาจน ณ ปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องลดขยะมันต้องมีมาตรการที่แข็งแรงพอสมควรในการที่จะกลับมาโต้ตอบตรงนี้ ขณะที่ปฏิบัติการเฉพาะคนที่ทำด้วยตัวเราเองเปลี่ยนพฤติกรรมการพกขวดน้ำ มีเครื่องกรองน้ำ ทำให้เรารู้สึกว่าเราลดขยะไปได้มาก
นางชโลม ระบุว่า ขณะที่ปฏิบัติการในพื้นที่เรามีเครือข่ายทั้งฝ่ายผลิตที่เป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรรายย่อย กลุ่มประมงชายฝั่ง อันนี้คือพลังของผู้บริโภค เพราะฉะนั้นconsumer is voting การกินคือการโหวตที่จะให้เขาอยู่ได้ ถ้ามันเกิดเป็นชุมชนกลุ่มที่จะไปจัดหาอาหารให้เรา เราต้องรู้แหล่งที่มา มาจากแหล่งอาหารที่เขาดูแลธรรมชาติ ดูแลสิ่งแวดล้อมเราจะสนับสนุน อันนี้คือนโยบายที่คิดว่าประเด็นผู้บริโภคมีพลังมากเราต้องสร้างให้เป็นกระแสที่สามารถทำให้เกิดได้ในระดับพื้นที่
“ส่วนนโยบายองค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรแบบไหน เช่นไม่บริโภคสารพิษ ลดการใช้พลาสติกที่มีไมโครพลาสติก ต้องเชื่อมโยงให้ได้มีความรู้จากเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นการสื่อสารสาธารณะโดยองค์กรพวกเราควรจะย่อยทำให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคต้องการอะไร เพื่อจะสื่อสารกับสังคมว่าเราผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่เรื่องสิทธิ แต่เราต้องการสภาพสิ่งแวดล้อมที่มันยั่งยืนปลอดภัย ส่งต่อให้ลูกหลานเราได้” นางชโลม ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี