‘ดร.สิริพร พิทยโสภณ’รองผู้อำนวยการ สอวช. ส่งต่อแรงบันดาลใจสู่หญิงไทย‘อย่าหยุดพัฒนา อย่ายอมจำนนกับปัญหา’ มองงานนโยบายไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือเอกสาร แต่มันต้องมีชีวิต เผยอยากเห็นสตรีมีสัดส่วนเป็นผู้บริหารในทุกองค์กร
เนื่องในเดือนมีนาคม ถือเป็นเดือนสตรีสากล ดร.สิริพร พิทยโสภณ รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้เปิดเผยแนวคิดและประสบการณ์การทำงานตั้งแต่นโยบายระดับประเทศไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน พร้อมแสดงจุดยืน เกี่ยวกับบทบาทของสตรีในการบริหารองค์กร และแนวคิดเรื่อง “โรงเรียนพ่อแม่” และ “ศูนย์เด็กเล็ก” ที่ ครอบคลุมทั้งในเมืองและชนบท
#จุดเริ่มต้นในวงการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ดร.สิริพร เริ่มเข้าสู่แวดวงวิทยาศาสตร์ ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฝ่ายวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่ปี 2544 โดยได้รับผิดชอบให้จัดทำดัชนีวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดทำแผนกลยุทธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (พ.ศ. 2547-2556) ฉบับแรก (เล่มสีแดง) ซึ่งมี การนำแนวคิดใหม่ ๆ มาผนวกในการจัดทำแผน
ในปี 2551 มีแนวคิดที่จะแยกหน่วยงานด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ นวัตกรรมออกจาก สวทช. จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของ สวทช. เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และได้ผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติพ.ศ. 2551 จนสำเร็จ โดย ดร.สิริพร เองได้มีส่วนในการจัดทำสมุดปกขาว เพื่อใช้สนับสนุนการออกพระราชบัญญัติฉบับนี้ และได้มีการจัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ขึ้นมา ในขณะนั้น ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านการพัฒนากำลังคนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยขยายผลโรงเรียนเทคโนโลยี ฐานวิทยาศาสตร์ไปสู่ภูมิภาค และเป็นหนึ่งในทีมของการจัดทำแผนวิทยาศาสตร์เล่มเขียวเป็นแผนด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ซึ่งมุ่งเน้นนำ วทน. ไปช่วยในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ต่อมา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายดัชนีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในปี 2556 ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้ไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านนโยบายนวัตกรรม ถือเป็นช่วงที่ พักจากการทำงาน ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งในระหว่างการเรียนที่ญี่ปุ่น ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ ซึ่งท่านเป็นเลขาธิการ สวทน. ในขณะนั้นได้ รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหลังจากเรียนจบปริญญาเอก ได้เข้าไปช่วยงานเป็นข้าราชการการเมือง
ในปี 2560 ดร.สิริพร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขาธิการ สวทน. ก่อนเกิดการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน และสามารถผลักดันให้มีการนำงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ได้มีการกำหนดให้มี สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ แล้วให้ สวทน. และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทำงานร่วมกันในฐานะเลขานุการ ซึ่ง ดร.สิริพรได้รับมอบหมายให้ดูแลงานส่วนนี้ นับเป็นจุดที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมที่มีงบประมาณขับเคลื่อนจากแผนบูรณาการวิจัยและนวัตกรรม โดยให้ วช. รับผิดชอบด้านสังคม และ สวทน. รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจกับโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้มีการริเริ่มแผนงาน Spearhead นับเป็นการปรับกระบวนการจัดสรรงบประมาณวิจัยและนวัตกรรม และเกิดการเปลี่ยนแปลงการ ให้ทุนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยให้เอกชนมาร่วมลงทุนด้วย รวมถึงการบริหารจัดการทุนที่ใช้แนวคิดจาก ประเทศญี่ปุ่น หลังจากการดำเนินงานดังกล่าว เกิดผลกระทบเป็นที่น่าพอใจ
ในปี 2562 ดร.สิริพร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการ สวทน. ก่อนที่จะได้รับมอบหมายให้ช่วยทำรายละเอียดการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. (ในปัจจุบัน) ซึ่ง ดร.สิริพร เป็นหนึ่งในทีมที่ทำข้อเสนอการจัดตั้งกระทรวง อว. และอยู่ในกระบวนการผลักดันเชิงนโยบายจึงทำให้เกิด กระทรวง อว. และนั่นก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในการถือกำเนิดของ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562
ดร.สิริพร เปิดเผยว่า ทุกช่วงเวลาตั้งแต่การทำงานนโยบายที่ สวทช. เปลี่ยนผ่านมาเป็น สวทน. และ สอวช. เป็นช่วงเวลาของการ เรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา “พูดได้ว่า มีความสุขในการทำงานทุกช่วงที่ผ่านมา เป็นความทรงจำที่ดีของตัวเอง เพราะมีหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และทีมงานที่ดีมาก ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านสักกี่ครั้ง แต่ทุกครั้ง ทุกคน พร้อมจะเดินไปด้วยกัน”
#จากนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ: สร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง
จากประสบการณ์การทำงานใน สอวช. ดร.สิริพร มองว่า การผลักดันนโยบายด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไม่ควรจำกัดอยู่แค่การทำเอกสารบนโต๊ะ แต่ต้องลงพื้นที่ไปให้เห็นหน้างาน เห็นการทำงานจริง ได้พูดคุยกับผู้ที่จะใช้ประโยชน์จริง
“งานนโยบายไม่ใช่แค่เอกสาร แต่เป็นสิ่งที่ต้องส่งผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ต้องมีคนได้รับประโยชน์จริง ต้องลงไปเห็นหน้างานจะเข้าใจปัญหาและความต้องการ” ดร.สิริพร ยังกล่าวเสริมว่า ได้มีโอกาสทำงานเชิงพื้นที่ ร่วมกับหน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในเรื่องของการขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้เปิดมุมมองการทำงานที่ได้ลงไปคลุกคลีกับพื้นที่ และได้ไปเยี่ยมชมการดำเนินงานด้านนี้ของจีนด้วย ทำให้เห็นว่าการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมไปพัฒนาชุมชนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้ สร้างการเปลี่ยนแปลงได้
#ยึดคำสอน “อย่ายอมจำนนต่ออุปสรรค”
ดร.สิริพร ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้ใหญ่หลายท่านที่เหมือนเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ โดยมีคำสอนหนึ่งที่ใช้ปฏิบัติมาตลอดว่า อย่ายอมจำนน เวลาที่คุณคิดว่าชักจะหมดหนทางแล้ว ขอให้ตั้งสติและมองไปรอบ ๆ ตัว คิด วิเคราะห์อย่างรอบคอบอย่างมีสติ มีสมาธิ แม้ว่าหนทางนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่ปัญหาบางอย่าง อาจจะถูกแก้ไขไปได้บ้าง นอกจากนี้ยังได้รับคำสอนให้เผชิญหน้ากับความท้าทายอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่เราผ่านจุดนั้น ได้ เราก็จะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ
“อีกหนึ่งคำสอนที่นำมาปฏิบัติ คือ การอดทน เวลาที่เราทำงานอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานนโยบายหลายครั้ง มันเหมือนกับ เราพายเรือ แล้วเรือเราดันมีคนมาขึ้นเยอะด้วย ดังนั้น อย่าสละเรือและอย่าให้เรือล่ม คุณต้องประคองไว้ จนกว่าที่มันจะขึ้นฝั่งได้ หรือให้มันลอยอยู่กลางน้ำอย่างมั่นคงที่สุด”
#บทบาทของผู้หญิงในองค์กร: การสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง
ในฐานะผู้หญิงที่อยู่ในแวดวงนโยบายวิทยาศาสตร์มาอย่างยาวนาน ดร.สิริพร มองว่า ผู้หญิงก็มีความสามารถที่ จะช่วยบริหารองค์กรได้ เพราะความสามารถในการประนีประนอมและการรับมือกับแรงกดดันในการทำงานได้ ดี“ความเป็นผู้หญิงทำให้เราได้เปรียบในบางเรื่อง เช่น เราดูไม่แข็งเกินไป ทำให้การเจรจาต่อรอง การประนีประนอมมีโอกาสสำเร็จ รวมถึงการทำงานเชิงนโยบายที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งสูง เราก็สามารถจัดการมันได้” อยากให้ ผู้หญิงทุกคนมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพราะทุกขณะคือ การเรียนรู้ สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง
#สร้างสมดุลชีวิตระหว่างงานและครอบครัว
เมื่อพูดถึงการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัว ดร.สิริพร เชื่อว่า ผู้หญิงสามารถประสบ ความสำเร็จและรักษาสมดุลชีวิตที่ดีได้ทั้งสองด้าน หากมีการวางแผนและจัดลำดับความสำคัญที่ดี สำหรับ ดร.สิริพร แล้ว แม้จะมีภาระงานมาก แต่ก็จะจัดสรรเวลาสำหรับครอบครัวเสมอ ซึ่ง ดร.สิริพร มีการพูดคุยกับลูกสาวตลอดว่า “เป็นลูกแม่ต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง” และโชคดีมากที่ลูกเข้าใจ จากคำพูดของลูกที่ว่า “แม่ หนูอยากโตมาแล้วเป็นเหมือนแม่ หนูว่าแม่นี่สู้ มากเลยนะ”
#โรงเรียนพ่อแม่และศูนย์เด็กเล็ก: รากฐานสำคัญของสังคมไทย
จากคำพูดของลูก ทำให้ ดร.สิริพร กลับมาคิดว่า การเป็นแม่ที่ต้องทำงานด้วย เลี้ยงลูกด้วย จะมีภาระงานที่หนัก มาก ยากต่อการสร้างสมดุล ยากต่อการบริหารอารมณ์ที่ต้องรับภาระหนักทั้งสองด้านพร้อมกัน ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนให้เกิด “โรงเรียนพ่อแม่” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพประชากรไทย โดยมุ่งหวังให้พ่อแม่ได้รับความรู้ด้านพัฒนาการเด็ก เพื่อช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และลดปัญหาสังคมในระยะยาว “เวลาเรามีลูกคนแรก ทุกคนจะงงหมดเลยว่าต้องทำอย่างไร แต่จุดหนึ่งที่ตั้งใจ ไว้มาก ๆ ก็คือ เราอยากให้ลูกมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องมีจิตสำนึกที่ดี ถ้ามีพ่อแม่ที่มีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดู เด็ก ประเทศก็จะได้ประชากรที่มีคุณภาพมากขึ้น”
นอกจากนี้ ดร.สิริพร ยังชี้ว่า ควรจัดตั้ง “ศูนย์เด็กเล็ก” ให้ครอบคลุมทั้งในเมืองและชนบท โดยเฉพาะในเขต เมืองที่มีจำนวนศูนย์เด็กเล็กไม่เพียงพอต่อความต้องการ พ่อแม่ที่ต้องทำงานน่าจะมีสถานที่ดูแลเด็กที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ
#แรงบันดาลใจสู่ผู้หญิงไทย: “อย่าหยุดพัฒนา อย่ายอมจำนนกับปัญหา”
“อยากให้ผู้หญิงทุกคนเห็นคุณค่าของตัวเอง และอย่าหยุดพัฒนา อย่าคิดว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วจะมีข้อจำกัด ถ้า เรามีเป้าหมายและตั้งใจจริง ๆ เราจะหาทางจัดสมดุลชีวิตและงานได้” เธอทิ้งท้ายด้วยแนวคิดที่ได้รับการ ปลูกฝังจากประสบการณ์การทำงานว่า “อย่ายอมจำนนกับปัญหา” และมองหาทางออกอยู่เสมอ เพราะทุกความ ท้าทายที่ผ่านไปได้ จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
“ดร.สิริพร พิทยโสภณ” คือแบบอย่างของผู้หญิงแกร่งที่ไม่เพียงผลักดันนโยบายระดับประเทศ แต่ยังมี ความเข้าใจในระดับครอบครัวและชุมชน เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่พร้อมจะสร้างการ เปลี่ยนแปลงให้กับประเทศในทุกระดับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี