ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2568 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ กสม. ได้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามรายงานผลการตรวจสอบ ที่ 42/2566 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2566 เรื่อง “สิทธิเด็กอันเกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนในพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี” หลังได้รับเรื่องร้องเรียนในขณะนั้นว่ามีสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนมากกว่า 18 แห่งในพื้นที่ อ.สังขละบุรี ที่เปิดดำเนินการโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย และยังปรากฏสถานการณ์การกระทำทารุณกรรมเด็กหลายกรณี
ภายหลังการตรวจสอบข้อเท็จจริง กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2566 ได้มีข้อเสนอแนะเชิงระบบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการดูแลเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้จดแจ้งสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย พร้อมทั้งสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลจำนวนเด็กและจำนวนสถานรองรับเด็กทั่วประเทศ
จัดให้มีกลไกคัดกรองเด็กที่มีประสิทธิภาพ กำกับดูแลมาตรฐานสถานสงเคราะห์ พัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเด็กและการดูแลเด็กแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมบริการเลี้ยงดูทดแทนในรูปแบบอื่นๆ เช่น ครอบครัวอุปถัมภ์ ครอบครัวเครือญาติอุปถัมภ์ ตลอดจนให้มีการทบทวนกฎหมาย ระเบียบ หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการสถานสงเคราะห์ เพื่อให้เด็กทุกคนในสถานสงเคราะห์ได้รับการเลี้ยงดูที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมแบบครอบครัวมากที่สุด
ตลอดจนประกันว่าเด็กต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากความรุนแรง การถูกละเมิดสิทธิ การถูกทอดทิ้ง และการแสวงประโยชน์ทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งหลังจากมีข้อเสนอแนะข้างต้น กสม ได้ติดตามผลดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. และดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ประเทศไทย หน่วยงานฝ่ายปกครองในพื้นที่อำเภอสังขละบุรีและผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยได้ทราบว่าภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมกันดำเนินงานผ่านกลไกคณะทำงานคุ้มครองเด็กอำเภอสังขละบุรี ซึ่งมีการจัดทำ “โครงการแก้ไขปัญหาสถานรองรับเอกชนใน อ.สังขละบุรี” โดยส่งเสริมให้เด็กที่เสี่ยงไม่ได้อยู่กับครอบครัวได้รับการดูแลที่เหมาะสมและขยายผลในพื้นที่อื่นๆ จัดให้มีกลไกคัดกรองเด็กก่อนส่งเข้าสู่สถานสงเคราะห์ด้วยขั้นตอนและกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์โดยสหวิชาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ กสม.
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2568กสม. โดย น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดชและ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อประชุมหารือร่วมกับผู้แทนจาก ดย. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดกาญจนบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอสังขละบุรีและอำเภอทองผาภูมิ คณะทำงานคุ้มครองเด็กอำเภอสังขละบุรี UNICEF และมูลนิธิวันสกาย
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันและติดตามการแก้ไขปัญหาสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนที่ไม่จดทะเบียนตามกฎหมาย และหารือถึงแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ รวมถึงการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการดูแลเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
โดยใช้ตัวอย่างการทำงานในพื้นที่อำเภอสังขละบุรีเป็นต้นแบบ รวมทั้งการคุ้มครองดูแลเด็กในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีในภาพรวม ซึ่งครอบคลุมทั้งเด็กที่อาศัยอยู่ในสถานรองรับเด็กเอกชนประเภทต่างๆ เด็กที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิง เด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติ เด็กที่เดินทางไปกลับระหว่างชายแดนไทย-เมียนมา เด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน และเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ
“จากการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของ กสม. พบว่า หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ตลอดจนองค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์การระหว่างประเทศ ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กในสถานสงเคราะห์ ซึ่ง กสม. จะรวบรวมข้อมูล ข้อคิดเห็น ข้อท้าทาย ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่พบเพื่อประสานการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการเลี้ยงดูทดแทน (Alternative Care) ทุกรูปแบบของประเทศไทยให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้นและสอดคล้องตามหลักสิทธิเด็ก” นายวสันต์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี