คำพังเพยของคนไทย สมัยก่อนนักเรียนที่จบการศึกษามัธยม 8 ทุกคนก็จะได้เรียนวิชาหลักภาษาไทย กันมาแล้วทั้งนั้น ก็จะรู้จักคำพังเพยที่บรรพบุรุษอุตส่าห์คิดขึ้นมาเพื่อสอนลูกหลาน เช่นเมื่อเดือนที่แล้วผู้เขียนก็ได้ยกคำพังเพย “พายเรือในอ่าง” ซึ่งบรรพบุรุษสอนไว้ว่า หากมีปัญหาของตนเอง ของครอบครัว ของประเทศชาติ เกิดขึ้นและเราหาทางแก้ หากแก้โดยวิธีเดิมหลายทีแล้วไม่เป็นผลสำเร็จ (ซึ่งเท่ากับเราพายเรืออยู่ในอ่าง) ก็ต้องหาทางแก้อื่นบ้าง คิดของใหม่ขึ้นมาบ้าง (นวัตกรรมทางความคิด)เราก็จะสามารถแก้ปัญหา พายเรือออกจากอ่าง (ปัญหา) ไปสู่ความสำเร็จได้
คำพังเพยของคนโบราณ ยังมีอีกที่ควรเอามาคิดกันดู วันนี้ก็จะขอนำเอาคำพังเพยว่า “เส้นผมบังภูเขา” มาพิจารณาดูบ้าง เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาส่วนตัว ส่วนครอบครัว และส่วนรวมของประเทศชาติ ดูกันบ้าง
หากเราจอดรถเก๋งบนถนนในลานบ้าน แล้วเจ้าของรถลงไปอยู่ในกระโปรงท้ายรถคนเดียว เพื่อทำความสะอาดท้ายรถที่มีขยะและเศษกล่องอาหารอยู่รกรุงรัง เกิดมีลมกระโชกหรือพายุฤดูร้อนหมุนเข้ามาพอดี ปิดฝากระโปรงปัง ท่านก็ติดอยู่ในกระโปรงรถคนเดียว ลูกเมียและคนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่ ท่านก็เสี่ยงอยู่กับการหาทางออก จะร้องดังๆ หรือทุบรถ เพื่อนบ้านก็อยู่ห่างไปไม่ได้ยิน ปัญหาก็คือท่านอาจจะถูกอบตายอยู่กับความร้อนใต้ฝากระโปรงหลังรถได้
ทางแก้ก็มีอยู่เสมอ เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา หากท่านนอนหมดแรงอยู่เฉยๆ หรือเอาแต่เคาะรถซึ่งไม่มีคนได้ยินอยู่ซ้ำซาก (พายเรือในอ่าง) ท่านก็ยากที่จะหาทางออกมาได้ แต่ถ้าท่านใช้ความคิด ความพยายามหาจุดที่รถเขามีไว้ในกระโปรงท้ายรถ เพื่อให้คนที่ติดอยู่กดแล้วประตูจะเปิดออกมาได้ หรือหามือจับเพื่อเปิดฝากระโปรงยามฉุกเฉิน หรือสายดึงที่ไปยังคันบังคับให้ประตูฝากระโปรงเปิดได้ ก็เท่ากับท่านพบเส้นผมที่บังภูเขาอยู่ ท่านก็จะพ้นอันตรายเฉพาะหน้านี้ได้
ตอนนี้ปัญหาบ้านเมือง ที่คนไทยทุกคนผจญอยู่ก็ได้แก่ปัญหาที่เกิดจากนักธุรกิจการเมือง การเมืองน้ำเน่าการทุจริตคอร์รัปชั่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของครอบครัว โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม และความอยู่ดีกินดีของคนในชาติเดียวกัน ไม่คำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
ความจริงคำว่า นักการเมือง เล่นการเมือง ธุรกิจการเมือง ไม่ควรจะมีอยู่ในสารบบด้วยซ้ำ เพราะเมื่ออำนาจอธิปไตย แบ่งออกเป็น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร ผู้ที่ขันอาสาเข้ามาใช้อำนาจใดอำนาจหนึ่ง แทนปวงชนชาวไทย ก็ควรจะถูกเรียกว่า
-นักนิติบัญญัติ
-นักตุลาการ
-นักบริหารประเทศ
แต่เมื่อกลไกในการปกครองประเทศหรือรัฐธรรมนูญ เราไปเลือกแบบที่ทำให้นักนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ออกกฎหมายต่างๆ รวมทั้งงบประมาณประจำปี มีหน้าที่ดูแลผู้ใช้อำนาจตุลาการ และผู้ใช้อำนาจบริหาร ให้ใช้อำนาจโดยชอบธรรม โดยความรู้ ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความโปร่งใส ภายใต้ศีลธรรม จริยธรรม และ goodgovernance เข้ามาใช้อำนาจบริหาร มาเป็นผู้บริหารประเทศเสียเอง
จึงน่าจะทำให้มีคำว่านักการเมือง และเล่นการเมือง และธุรกิจการเมือง เกิดขึ้นในประเทศอย่างประเทศไทยที่น่ารักน่าทะนุถนอม อย่างในปัจจุบันนี้
และ กลไกในการปกครองประเทศ หรือประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy)นี่แหละ ที่เปิดโอกาสและบังคับให้ นักนิติบัญญัติจำนวนไม่น้อย ต้องอำลาจากอุดมการณ์อันดีแต่เบื้องต้นของตนมากลายเป็นนักการเมือง ที่ต้องเล่นการเมือง เพื่อตนเองจะได้เข้าสู่อำนาจบริหารเสียเอง (เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ) จึงจำเป็นจะต้องสะสมเงินทองไว้หาเสียงกับประชาชน รวบรวมให้มีพรรคมีพวกในสภามากๆ เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ อันเป็นที่มาของการคอร์รัปชั่น
ดังเช่นที่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รักเกียรติ สุขธนะ ผู้เป็น สส. จังหวัดอุดรธานี 7 สมัย เป็นรัฐมนตรี 5 ครั้ง และถูกศาลตัดสินจำคุก 15 ปี จากผลการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ขณะพ้นโทษและกำลังเป็นพระภิกษุว่า “สมัยมาเล่นการเมือง ก็มาด้วยอุดมคติ แต่สภาพของการเมือง (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือ Parliamentarian Democracy) ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้ต้องหาเงินมาเลี้ยงดู สส. ในมุ้งของตน จากการเข้าสู่การเมืองด้วยอุดมคติ ก็กลายเป็นเริ่มเข้าสู่ด้านมืด ต้องหาเงินมาเพื่อมีตำแหน่ง และอำนาจสูงขึ้น” สส. แทบทุกคนจะ “เปรียบเสมือนมาสว่าง แต่ช่วงกลางมืด เพราะสภาพการเมืองที่ต้องหาเงินจากอำนาจทางการเมืองมาดูแลมุ้ง หรือพยุงมือที่ยกสนับสนุนตำแหน่งรัฐมนตรีให้”
และพระรักเกียรติ รักขิตะ ธัมโม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ว่า “การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลือกตั้ง ไต่เต้าทางการเมืองประสบความสำเร็จ และเข้ามาเล่นการเมืองก็ดูรุ่นพี่ ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ ผู้ใหญ่ทางเมืองอุปถัมภ์ผู้น้อย นักการเมืองใหม่ๆ เข้ามารับการอุปถัมภ์จากเขา ที่สำคัญมาดูว่าเขาต้องทำอย่างไรจึงจะได้เป็น สส. ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องมีเงิน ความจำเป็นการเข้าสู่ตำแหน่งทางเมืองก็คือการใช้เงิน” พระอาจารย์รักเกียรติ กล่าว
วัฒนธรรมการเมืองทำอุดมการณ์เปลี่ยน
“อาตมาเข้าสู่การเมืองตั้งแต่หนุ่ม เป็นเด็ก เป็นคนมีอุดมการณ์ สมัยเรียนปริญญาตรีก็อยู่ในช่วงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความเข้มข้น คือ ช่วง 14 ตุลา 16 เรียนจบก็ปี 19 ตอนเรียนถูกปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองอยากทำงานการเมืองตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย มีอุดมการณ์ที่ร้อนแรงมาก ใฝ่ฝันมุ่งมั่นอยากเป็นแต่นักการเมืองไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย” พระอาจารย์รักเกียรติเล่าให้ฟัง ถึงช่วงที่เป็นนักศึกษา ซึ่งลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
แต่จากคนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า กลับต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่วัฒนธรรมทางการเมือง เข้าสู่วงจรอำนาจทางการเมือง เข้าสู่วงจรอุบาทว์อุดมการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะเห็นคนที่อยู่ในวงการมาก่อนก็อยากเป็นอยากได้ อยากมีเหมือนเขา นักการเมืองก็ต้องมีมติพรรค ก็ต้องว่าไปตามเขา อุดมการณ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นอยากได้อยากเป็น ก็ยอมทำทุกอย่าง นักการเมืองส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้”
อ่านมาจนถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านก็คงจะเห็นได้ชัดแล้วว่า อะไรคือ เส้นผม (ปัญหา อุปสรรค) ที่มาบังภูเขา (ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ การอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย การอยู่ในประเทศที่มีศักดิ์ศรีในการบริหารบ้านเมืองอย่างใสสะอาด โดยนักบริหารมืออาชีพที่มีคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ ก้าวมั่น ทันโลก)
ปัญหาเหล่านี้ ก็คงเห็นกันมาบ้างแล้ว จึงได้มีการปฏิวัติ รัฐประหาร กันมาในประเทศนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังใช้กลไกเดิมของประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มาบริหารบ้านเมืองอยู่ เราจึง “พายเรืออยู่ในอ่าง” จนถึงทุกวันนี้ และมีวงจรอุบาทว์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงจำเป็นที่คนไทยจะต้องคิด ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ฝรั่งเศสก็มีพลเอกเดอโกล นำประชาธิปไตยแบบใหม่มาใช้ ตามด้วย รัสเซีย ซึ่งก็อยู่ในประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi Presidential Democracy) เช่นกัน
คนไทยเมื่อเห็นปัญหาแล้ว จึงจะต้องคิดแก้ปัญหา เส้นผมบังภูเขา นี้ ด้วยตนเอง ซึ่งประการแรกก็จะต้องไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ เข้ามาใช้อำนาจบริหาร (ExecutivePower) อีกต่อไป ให้เป็นแต่นักนิติบัญญัติ (สส., สว.) มีหน้าที่ด้านนิติบัญญัติแต่อย่างเดียว (Legislative Power)ส่วนผู้จะมาใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) การใช้วิธีเอานักบริหารมืออาชีพ (Professional Executive) จากภาคประชากิจ (Social Sector) จากภาคธุรกิจ (Business Sector) และจากภาครัฐกิจ (Public Sector)โดยวางการถ่วงดุลแห่งอำนาจ (Balance of Power) ระหว่างกัน กับอีกสองอำนาจให้เหมาะสม
เราจึงจะสามารถ ยกเส้นผม ออกจากการบังภูเขา (ความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย) ได้ ภายในระยะเวลาไม่นานนัก และคงจะดีกว่าต้องปล่อยให้มิตรประเทศวิ่งผ่านหน้าเราไปอย่างกู่ไม่กลับ (เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ไต้หวัน) และขณะนี้ก็กำลังแซงหน้าเราไปครึ่งตัวแล้ว (เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ลาว (เฉพาะการศึกษา))
ถ้าเรายังไม่สามารถแก้ปัญหา “เส้นผมบังภูเขา” ได้ และยังคง “พายเรือในอ่าง” อยู่ต่อไป เราคงจะได้ดูประเทศไทย ที่มีวัฒนธรรมละมุน (Soft Culture) อันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ต้องล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี