ช่วงนี้ประเด็นร้อนฉ่าทางการเมือง ไม่พ้นกระแสข่าวเรื่องการ “ปรับครม.” ที่สะพัดเหลือเกินในวันประชุม ครม.อังคารที่ผ่านมา บรรดาพรรคร่วมฯต่างออกมาตอบเป็นเสียงเดียว ราวกับนัดกันว่า ยังไม่ได้รับสัญญาณจากนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นอำนาจนายกฯตัดสินใจ ฯลฯ เช่นเดียวกับ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ “ท็อป – วราวุธ ศิลปอาชา” ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ยืนยันย้ำ คำเดิมมาเป็นสัปดาห์แล้วว่า ต้องถามนายกฯ ยังไม่ได้รับสัญญาณจากนายกฯ จะปรับหรือเปลี่ยนอะไร...พอนักข่าวไปถามถึงข่าวปรับ ครม. และมีชื่อเจ้าตัวโยกไปเป็น “รมว.ต่างประเทศ”...รมต.ท็อปบอกยิ้มๆ ว่า สงสัยจะมาจากเวลาไปต่างประเทศ ตนจะถูกแชร์ในโซเชียลเรื่องของการพูดภาษาอังกฤษ แต่การจะเป็นรมว.ต่างประเทศไม่ได้แปลว่าต้องพูดภาษาอังกฤษเก่งอย่างเดียว ต้องมีองค์ความรู้หลายอย่างประกอบด้วย

...พอถูกจี้ถามอีกว่า พร้อมหรือไม่ถ้ามีการปรับครม. รมต.ท็อป ก็บอกแข็งขัน เรื่องอนาคตยังไม่อยากพูดถึง เป็นเรื่องถ้าอย่างนั้นถ้าอย่างนี้ แต่เราพูดกันในความเป็นจริงว่าวันนี้บริบทของกระทรวง พม. ยังเหลือภารกิจอีกมาก ระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่สิบปีคือ ปัญหาผู้สูงอายุ ขาดแคลนแรงงาน เป็นบริบทที่กระทรวง พม. ต้องเร่งดำเนินการอย่างแข็งขัน

…ถามถึงยุทธศาสตร์การทำงานการเมืองในรัฐบาล ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จะมีการแลกหมัดอย่างไรหรือไม่ ในมุมมองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เจ้าตัวบอกว่า “คุณพ่อบรรหาร ศิลปอาชา สอนอยู่เสมอว่ามีมิตร 100 คนก็น้อยเกินไป มีศัตรู 1 คนก็มากเกินไป ดังนั้น แนวทางการทำงานของพรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งแต่สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ ผ่านมาถึงนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา พี่สาว มาถึงผม เรายืนยันว่า เราเน้นการทำงานและการสร้างพันธมิตรทางการเมืองมากกว่า เพราะการมีพันธมิตรทางการเมืองจะทำให้เราทำงานให้ประชาชนได้มีประสิทธิภาพ ฉะนั้น เราคงไม่มีหมัดไปแลกกับใคร...”..พร้อมย้ำด้วยว่า เรายินดีช่วยทุกพรรค แม้กระทั่งทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน การทำงานของเรา จะเอาผลงานเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน เรามาทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชนดีกว่า เรื่องการเมืองก็เอาไว้ก่อน!!!...อืมมมม...สมเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นของพ่อบรรหารยึดกลยุทธ์คำสอนสานต่องานการเมืองมาใช้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ