13 ต.ค. 58 เมื่อเวลา 13.30 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยถึงกรณี การสั่งแบนภาพยนต์เรื่อง "อาบัติ" ว่า การพิจารณาภาพยนต์ไม่ได้เป็นหน้าที่ของ วธ.เพียงอย่างเดียว แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการทั้ง 7 ท่าน ซึ่งเป็นข้าราชการได้ไม่เกิน 4 ท่าน และที่เหลือเป็นภาคเอกชน ซึ่งภาพยนต์เรื่องอาบัติเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นการพิจารณาครั้งพิเศษ จึงได้มีการเชิญพระสังฆธิการและผุ้ทรงคุณวุฒิจากสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าร่วม และที่ประชุมมีมติห้ามฉายภาพยนต์เรื่องดังกล่าวก่อน เนื่องจากในหลายฉากมีความไม่เหมาะสมของพระ เช่น สามเณรพาสีกาเข้ากุฏิ สามเณรจูบปากสีกา การยกเศียรพระพุทธรูปวางไว้ที่พื้น หรือบทพูดที่ว่า "การมีความรักไม่จำเป็นต้องเป็นฆราวาสอย่างเดียว" ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่ามีความล่อแหลม ทั้งนี้ทางคณะกรรมการไม่ได้พิจารณาเพียงในบริบทของสังคมไทยอย่างเดียว การเผยแพร่ภาพหลายๆ ตอนย่อมมีผลกระทบต่อความศรัทธาต่อพุทธศาสนาในภาพรวม

"ในสังคมไทยมีคนที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาในระดับที่แตกต่างกัน บางคนดูแล้วอาจเกิดปัญญา บางคนดูแล้วอาจก่อให้เกิดการดูถูกพระสงฆ์และศาสนา ซึ่งผู้สร้างอาจขออุทรณ์ให้ฉายเต็มทั้งเรื่อง โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมนำไปพิจารณาร่วมกับคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่ง หรือ อาจมีการตัดภาพบางภาพที่ไม่เหมาะสมออกและขอเสนอพิจารณาใหม่ ซึ่งจากการที่ประสานกับทั้งผู้สร้าง มีแนวโน้มว่าทางผู้สร้างอาจตัดภาพบางภาพที่ไม่เหมาะสมออกไป" นายวีระ ระบุ

นายวีระกล่าวต่อว่า ทาง วธ.เองเข้าใจดีว่า หากให้ฉายภาพยนต์เรื่องดังกล่าวในประเทศ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย ระหว่างกลุ่มผู้ที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ซึ่งหากภาพยนต์เรื่องดังกล่าวถูกนำไปฉายที่ต่างประเทศ คนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา อาจเข้าใจหลักธรรมและปรัชญาพุทธศาสนาแบบผิดๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่อไปนี้ใครจะทำภาพยนต์เกี่ยวกับพระ ต้องมาขออนุญาต วธ.ก่อนหรือไม่ นายวีระกล่าวว่า ก่อนที่จะทำไม่ต้องขอ แต่ก่อนที่จะฉายหนังทุกเรื่องต้องมาขออนุญาตกับ วธ.ก่อน

เมื่อถามถึงกระแสสังคมบอกว่าทาง วธ.ไม่ยอมรัมความจริง นายวีระกล่าวว่า บางเหตุการณ์อาจจะมีจริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เห็นเป็นประจำทุกวัน และบางฉากก็ยังไม่เคยเห็นในชีวิตจริงมาก่อน