29 ก.ย.59 ที่โรงแรมสุโกศล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) แถลงข่าว “100 ปี จุฬาฯ 100 การค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทย และความร่วมมืออาเซียนเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขุมทรัพย์ชีวภาพแห่งภูมิภาค”
โดย ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า ตามที่จุฬาฯ ได้ประกาศเป็นเสาหลักของแผ่นดินและมีนโยบายยุทธศาสตร์การสร้างทรัพย์สินทางปัญญาจากงานวิจัยสู่ spin-off เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย ในภาคอุตสาหกรรม และพัฒนาสังคม ซึ่งที่ผ่านมาจุฬาฯ ได้พยายามการส่งเสริมให้งานวิจัยสามารถต่อยอดและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ภายใต้แนวคิดหลัก 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.อาจารย์ นิสิต ต้องสร้างงานวิจัยบนพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่เดิม 2.งานวิจัยเชิงวิชาการต้องเป็นหัวข้อวิจัยที่สามารถผลิตเป็นผลจริง ตอบโจทย์ในอนาคต และ 3.ต้องเป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นในเมืองไทยและขยายผลไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นการเสริมประเทศให้มีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ จากผลงานวิจัยของ ศ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยซิสเทแมติกส์ของสัตว์ ได้แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าสามารถนำไปสู่เป้าประสงค์ดังกล่าวได้
ด้าน ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยซิสเทแมติกส์ของสัตว์ กล่าวว่า คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมนำเสนอผลงานวิจัยพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะงานทางอนุกรมวิธานที่เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็น “ขุมทรัพย์แห่งชาติ” ที่นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในเชิงการอนุรักษ์ และฐานสำคัญของ “ธุรกิจชีวภาพ Bio-economy” ที่ผ่านมาตนได้ค้นพบสายพันธุ์หอยทากมากมายหลายร้อยสายพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ และมากกว่า 70 สายพันธุ์ที่พบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลก และเมื่อปี พ.ศ.2545 ได้ขยายงานวิจัยด้วยโครงการวิจัย ความหลากหลายทางชีวภาพของกิ้งกือ ไส้เดือน และตะขาบ” ได้ค้นพบสายพันธุ์ใหม่และสายสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ จนมีผลงานตีพิมพ์และได้รับรางวัลต่างๆ จำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้น ยังเกิดความร่วมมือกับนักวิจัยในอาเซียน เพื่อการศึกษาสายพันธุ์ของทรัพยากรชีวภาพของภูมิภาค เพื่อตอบโจทย์ทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกถึง 245 ชนิด แบ่งเป็นหอยทากบก 121 ชนิด กิ้งกือ 76 ชนิด ไส้เดือน 45ชนิด และตะขาบ 3 ชนิด ทำให้ภาพของความหลากหลายทางชีวภาพชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาในเวลาต่อมา ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง SNAIL 8 ภายใต้บริษัท SIAM SNAIL และการผลิตสายพันธุ์ไส้เดือนดินสายพันธุ์ไทย และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ยืนยันถึงมูลค่ามหาศาลของความหลากหลายทางชีวภาพของไทย ที่จะสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างสูงให้แก่ประเทศได้หลุดพ้นกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และยิ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ร่วมมือกันกับประเทศในอาเซียน
“ขณะนี้ได้มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่เคยได้รายงานมาก่อน ซึ่งถือเป็น highlight ของประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ตะขาบชนิดใหม่ของโลก คือ ตะขาบน้ำตก พบได้ที่ ลาว เวียดนาม และไทยพบที่เขาสก จ.สุราษฏร์ธานี ,กิ้งกือมังกร ,กิ้งกือกระสุน ,กิ้งกือตะเข็บ, และไส้เดือน อีก 7 ชนิด นอกจากนั้น คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้รวบรวมบัญชีราบการสปีชี่ส์ของหอยทางบก กิ้งกือ ไส้เดือน และตะขาบที่ค้นพบใหม่ในประเทศไทยดังนี้ หอยทากบก พบแล้วมากกว่า 574 ชนิด เป็นชนิดใหม่ 121 ชนิด 5 สกุลใหม่ และ 1 วงศ์ใหม่ แบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือหอยพื้นดิน หอยต้นไม้ หอยถ้ำ และหอยทากป่าชายเลน , ไส้เดือน พบแล้วมากกว่า 80 ชนิด เป็นไส้เดือนชนิดใหม่ของโลกถึง 45 ชนิด จากการศึกษาของทางหน่วยวิจัยพบว่า สามารถแบ่งไส้เดือนในประเทศไทยออกเป็น 4 ประเภทคือ ไส้เดือนดิน ไส้เดือนสะเทิน ไส้เดือนชายหาด และไส้เดือนจิ๋ว ,กิ้งกือ พบแล้วทั้งสิ้น 193 ชนิด เป็นชนิดใหม่ของโลกถึง 76 ชนิด และตั้งสกุลใหม่ 5 สกุล แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ กิ้งกือกระบอก กิ้งกือหลังแบน และกิ้งกือกระสุน และตะขาบ พบแล้วทั้งสิ้น 47 ชนิด เป็นชนิดใหม่ของโลก 3 ชนิด อยู่ระหว่างการเสนอเป็นชนิดใหม่อีก 2 ชนิด แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ ตะขาบบ้าน ตะขาบดิน ตะขาบหิน และตะขาบขายาว”ศ.ดร.สมศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.ธีรยุทธ์ วิไลวัลย์ รองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนได้ ซึ่งต่างได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากจุฬาฯ ภาครัฐหลายหน่วยงาน รวมถึงภาคเอกชนหลายแห่งที่เข้ามาร่วมสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนมากขึ้น เพื่อให้ผลงานวิจัยไทยลงจากหิ้งไปสู่ห้าง อย่างไรก็ตาม การนำเสนองานวิจัยครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายให้คนหันมาสนใจงานด้านวิทยาศาสตร์ และใช้นวัตกรรมและวิทยาศาสตร์สร้างชาติต่อไป
ส่วน รศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สกว. กล่าวว่า สกว.เป็นหน่วยงานสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยพื้นฐาน และนำผลงานวิจัยไปสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมและสู่ภาคการผลิตที่มีคุณภาพ สร้างผลกระทบสูงต่อภาคธุรกิจของประเทศ ขณะเดียวกัน ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการปฎิรูประบบการวิจัยของประเทศเพื่อให้เกิดการสร้างงานวิจัยที่มีคุณภาพ และเป็นงานวิจัยทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ดังนั้นผลงานวิจัยต้องนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงวิชาการ และเชิงพาณิชย์เพื่อต่อยออดและเพิ่มมูลค่าการผลิตได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี