ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558–2565 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร เป็นความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร ร่วมกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่แสดงเจตจำนงในการซื้อสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าวและยางพาราจากประเทศไทย ทั้งนี้ ยางพารา เป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย ได้มอบให้การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบซื้อขายยางกับ บริษัท ซิโนเคม อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เป็นบริษัทผู้แทนของประเทศจีน โดยได้ทำสัญญาซื้อขายยาง จำนวน 2 แสนตัน แบ่งเป็น ยางแผ่นรมควันชั้น 3 จำนวน 1.5 แสนตัน และยางแท่ง STR 20 จำนวน 5 หมื่นตัน และจะต้องส่งมอบเดือนละ 16,667 ตัน รวม 12 งวด คิดราคาซื้อขายตามราคาเฉลี่ยของตลาดซื้อขายล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) และตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าสิงคโปร์ (SICOM) ซึ่งได้ส่งมอบยางลอตแรกไปเมื่อเดือนเมษายน 2559 จำนวน 16,667 ตัน มูลค่า 26 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้น บริษัท ซิโนเคม ได้ขอชะลอส่งมอบยางลอตที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวเพิ่มเติมว่า กยท. มีความพยายามในการเร่งรัดให้ซิโนเคมปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งหลังจากมีการเจรจาทางซิโนเคมแจ้งว่าจะชะลอการส่งมอบยางในลอตที่ 2 แต่ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงเวลาตามที่ระบุในสัญญา โดยขอฟังผลการเจรจาในเรื่องการสร้างทางรถไฟ ซึ่งตัวแทนจีนยืนยันว่ามีความเกี่ยวพันกันระหว่างสองสัญญานี้ อย่างไรก็ตาม กยท.ได้ขอความชัดเจนในเรื่องของเวลาและขอให้มีการดำเนินการจ่ายเงินในส่วนของคำสั่งซื้อเดิมให้เรียบร้อย
ทั้งนี้ ปัญหาการชะลอส่งมอบยางให้กับทางซิโนเคมไม่ส่งผลกระทบต่อ กยท. แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันมีผู้ซื้อจากหลายบริษัทให้ความสนใจและแสดงความจำนงในการขอซื้อยาง เนื่องจากเห็นว่า กยท. มีบทบาทในการเป็นตัวกลางรวบรวมยางจากเกษตรกรและปรับคุณภาพยางให้ได้มาตรฐาน และขณะนี้กำลังเตรียมที่จะตกลงเรื่องเงื่อนไขราคา ซึ่งซิโนเคมก็เป็นผู้ซื้อรายหนึ่งเช่นกัน และทุกวันนี้สัญญายังคงเดินหน้าซื้อขายยางตามสัญญาต่อไป และที่สำคัญ การขายยางของ กยท. จะเน้นการค้าขายยางโดยมองหาตลาดใหม่ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาคเอกชน กลุ่มหรือสถาบันเกษตรกรในการร่วมกันพัฒนาสินค้าและตลาดยาง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับ
ผู้ประกอบกิจการยางทุกฝ่าย
“ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความต้องการยางพาราโลกขึ้นอยู่กับแนวโน้มและภาพรวมเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบ การพัฒนาในภาคส่วนอุตสาหกรรมยางสังเคราะห์ และการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง จากการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยการเติบโตของปริมาณความต้องการยางพาราโลก ซึ่งค่าเฉลี่ยการเติบโตของปริมาณความต้องการยางพาราต่อปีประมาณ ร้อยละ 3.3 ดังนั้น ค่าเฉลี่ยการเติบโตของปริมาณความต้องการใช้ยางต่อปีอาจจะอยู่ในช่วง ร้อยละ 2-4 ต่อปี นอกจากนี้ ราคายางในตลาดล่วงหน้าซึ่งเป็นตลาดที่ทราบปริมาณความต้องการของผู้ซื้อและปริมาณยางที่ต้องเก็บไว้เพื่อส่งมอบ จึงสามารถกำหนดราคาได้ แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับราคาซื้อขายยางปัจจุบันในประเทศไทยแล้ว พบว่าราคาสินค้าและค่าขนส่ง รวมถึงค่าภาษีทั้งในประเทศและภาษีนำเข้าในต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่าราคาซื้อขายยางในประเทศไทยมีแนวโน้มจะสูงกว่าราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นอยู่ เพราะยางที่มีการซื้อขายปัจจุบันในประเทศถือว่ามีคุณภาพสูงกว่ายางที่ถูกเก็บไว้สำหรับซื้อขายในอนาคต” ดร.ธีธัช กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี