15 ก.พ.61 จากกรณีการเข้าจับกุม นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน พร้อมของกลางซากสัตว์ป่า และเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ขณะตั้งแคมป์ล่าสัตว์ป่าอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี เหตุเกิดเมื่อประมาณวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นข่าวโด่งดังนั้น
ล่าสุด นายสันติธร หุตาคม หรือ "โจ๋ย บางจาก" ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี รายการส่องโลก ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "สันติธร หุตาคม" ถึงความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ระบุว่า
ความคืบหน้า คดีเสือดำป่ามรดกโลก
-------------------------------------------
ผมได้รับแจ้งจาก K.Para Joke ดังต่อไปนี้ครับ ท่านที่สนใจ ติดตามได้มากกว่า สื่อหลัก (ช่วยกันแชร์ครับ อย่าให้เงียบ เริ่มมีกลิ่น...)
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 61 เวลา 10.00 น.หน่วยพญาเสือ และ จนท.ขสป.ทุ่งใหญ่ พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสำนักการบิน กระทรวงทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ บินตรวจสภาพป่าและส่งหน่วยฯ ปฏิบัติการพิเศษ กรณี ค้นหา พยาน หลักฐานในคดียิงเสือดำในพื้นที่ ขสป.ทุ่งใหญ่
จนท.ได้ดำเนินการ 3 เรื่องเป้าหมายด้วยกันคือ
1.พิสูจน์จุดตั้งกล้องดักถ่าย ของสถานีวิจัยสัตป่าเขานางรำ ซึ่งมีข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 ได้ถ่ายเสือดำเพศผู้ไว้ นั้นห่างจากจุดที่มีการชำแหละซาก เพียง 100 เมตร และพิจารณาว่า จะใช่ตัวเดียวกันหรือไม่ และอยู่จุดไหน
2.ค้นหาแนววิถีกระสุนปืนลูกซอง ที่ใช้ยิงเสือดำ และค้นหา ร่องรอยที่เป็นแนวและเชื่อมโยงไปหา จุดยิงได้ ?
3.ค้นหากระดูกสะโพกขวา ขาหลัง ซึ่งเบื้องต้นสันนิษฐานว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหา อาจจะกินหมดไปแล้ว แล้วขวางทิ้ง ขณะที่ จนท.ตรวจค้นว่าอยู่จุดใด หรืออาจจะโยนลงน้ำ หรือขว้างไปอีกฝั่งห้วย จึงได้จัดหาสน๊อกเกอร์ ที่ดำน้ำมองใต้น้ำได้ เพื่อเป็นหลักฐานประกอบ และเป็นวัตถุพยานสำคัญชิ้นหนึ่ง?
จนท.ทุกนายเดินทางถึงพื้นที่ แยกย้ายกันหา แบ่งงานกันเพื่อแข่งกับเวลา จนแต่ละที่สามารถตรวจค้นได้ตามเป้าหมายดังนี้
จุดที่ 1 พบจุดที่สถานีวิจัยสัตว์ป่า เขานางรำ ได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตวป่าไว้ ตรงกับพิกัดที่แจ้งไว้ และที่สำคัญ จุดนั้นได้เปรียบเทียบลักษณะสิ่งแว้ดล้อมทั่วได้ ในองค์ประกอบด้วย เช่นต้นไม้ที่ติดตั้ง ต้นไม้ที่อยู่ข้างเคียง จนครบองค์ประกอบ ทั้งสองมุมกล้อง จึงได้บันทึก และตรวจสอบว่ามีจุดห่าง จากจุดชำแหละเสือดำจริง เพียงแค่หนึ่งร้อยเมตร และที่สามารถยืนยันข้อเปรียบเทียบสันนิษฐานเบื้องต้นได้ก่อนว่า เสือดำตัวที่กล้องดักถ่าย ถ่ายได้นั้น อาจเป็นตัวเดียวกัน
จากข้อมูลงานวิจัย สามารถยืนยันได้ว่า เสือดำ ตัวผู้ จะมีพื้นที่หากิน ประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร +- 7 ตร.กม. จะดูแลตัวเมีย 2 - 3 ตัว และจะมีอาณาเขต ปกครอง สัตวป่าหรือเสือดำตัวอื่นไม่สามารถเข้ามาได้
และที่กล้องดักถ่าย ถ่ายภาพได้นั้นเป็นตัวผู้ ซึ่งอาจเป็นตัวเดียวกัน กับตัวที่ถูกยิงแล้วชำแหละ ในจุดที่ห่างเพียง 100 เมตร ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจหา และจะรู้ว่าเป็นเพศใด เบื้องต้น ทีมงานหน่วยพญาเสือ ดูจากหนังที่ชำแหละ แล้วว่ามีโอกาสเป็นเสือตัวผู้ 90% ถ้าพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นตัวผู้ ก็ชี้ได้เลยว่า เป็นตัวเดียวกัน
และที่เป็นข้อสังเกตว่า พรานที่มาล่าและตั้งใจนำปืนสามกระบอก มีดหกเล่ม แต่ละเล่มใช้แตกต่างกัน กรณีนี้ พรานทั้งสี่ หนึ่งในนั้นต้องรู้และเคยเข้ามาและเห็นเสือดำตัวนี้ ชอบเดินอยู่บริเวณนั้น จึงมีเจตนาเข้ามาล่า และตั้งแคมป์บริเวณนั้น ถือว่าจงใจ
2 จนท.ชุดที่สอง ค้นหาแนวกระสุน พบ ร่องรอยการฉีกขาดของเปลือกไม้ สองจุด ที่หิน หนึ่งจุด รวมสามจุด ตรงตามแนว จุดสลัดปอก ปอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่ตกอยู่บนถนน ตามที่เก็บเป็นหลักฐานไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน พบ จุดที่เสือดำถูกยิง พบขน ที่ขาดจากการกระแทกของแรงกระสุน ขนหลุดเป็นกระจุก ห่างจากจุดที่เชื่อว่าเสือนั่งอยู่เพียงเมตรเดียว และจุดที่ยืนยิง ห่างประมาณ 14 เมตร ส่วนกระสุนที่กระจายบานออก ไปกระทบกิ่งของเถาสะแกวัลย์ หนึ่งเม็ด ซึ่งอีกเม็ดหนึ่งไปกระทบหิน เป็นมุมเดียวกัน
ส่วนกระสุนปืน อีกเม็ดหนึ่งมีมุมเฉียงองศาออกไป เหมือนคนที่ยิงวิ่งเฉียงออกไปทางด้านซ้าย ไม่มากประมาณเดินออกไปทางซ้าย 6 - 7 ก้าว แล้ววิ่งไปยิงซ้ำ กระสุนเม็ดนี้ ไปกระทบต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เปลือกแข็ง มีรอยฉีกชัดเจน ส่วนเม็ดตะกัวนั้นหาไม่เจอ ต้องให้หน่วยกองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบแนวกระสุนอีกครั้ง
ข้อสังเกต จุดนี้ แสดงว่าเสือดำตัวนี้ต้องเขื่องมากและคุ้นกันคนจนไม่หลบหนี หรือเชื่อว่าคนไม่ทำร้ายมัน ในข้อสันนิษฐานเบื้องต้น เชื่อว่า เสือดำถูกยิงไม่น้อยกว่า 2 ครั้งและรูกระสุนที่สามารถเอาปลายหลอดแยงเข้าไปได้แสดงว่า น่าจะเป็นกระสุนคนละชนิด และอาจเป็นคนละคนที่เข้าไปยิงซ้ำ แต่เบื้องต้น พนักงานสอบสวนนำชิ้นเนื้อไปแสกนหาหัวกระสุนในชิ้นเนื้อว่าจะอยู่หรือไม่ หรืออาจจะทะลุลำตัวไป
คณะเจ้าหน้าที่ ยังค้นหาเลือดที่จุดเสือเสียชีวิตอีกด้วย และสันนิษฐานจุดที่ชำแหละ ชุดที่เข้ามาล่าเมื่อยิงแล้ว มายิงซ้ำ และนำภาชนะเช่นผ้าใบ ผ้ายาง หรือผ้าขนาดที่ใส่หอหุ้มตัวเสือได้ นำมาลองและช่วยกันยก ไม่น้อยกว่าสองคน ซึ่งเสือตัวนี้ วันที่ 4 จนท.ขสป.ทุ่งใหญ่ค้นเจอเครื่องในเสือดำ (ทราบภายหลัง) ตรงจุดใกล้ๆ นี้ เครื่องในเสือดำ มีน้ำหนักถึง 17 กก.ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัว ประมาณ หนึ่งในสาม ฉะนั้นเสือดำตัวนี้ จะมีน้ำหนัก ประมาณ 45 ถึง 50 กก.จึงต้องใช้สองคนยก มาชำแหละ เมื่อชำแหละแล้วนำเกลือปน มาคลุกเพื่อรักษาหนังรักษา อายุของหนังให้คงทนขึ้นอีกใช้เกลือ จำนวนสองถุง แล้วนำเนื้อเสือดำทั้งหมด กลับไปที่พัก ส่วนเครื่องใน ทิ้งไว้ข้างจุดชำแหละ
ขั้นตอนต่อไป คณะ จนท.จะทำแผนที่ และภาพประกอบพร้อมทั้งภาพเคลื่อนที่ ทำบันทึกส่งพนักงานสอบสวน เพื่อให้กองพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาตรวจแนววิถีกระสุน และค้นหาเม็ดกระสุนอีกครั้ง
3.การค้นหาวัตถุพยานอื่นๆ ข้างเต็นท์พัก และที่สันนิษฐานว่า ขาขวาหลังซึ่งเป็นส่วนที่เป็นเนื้อสะโพกนั่นหายไปหนึ่งขา น่าจะถูกกินไปแล้วนั้น กระดูกจะต้องทิ้งไว้หรือขว้างลงน้ำ นั้น จึงได้ให้ จนท.งมหาวัตถุพยานทุกชนิดในน้ำ
ขณะที่ จนท.สามนาย ดำน้ำค้นหา ประมาณ 20 นาที ก็พบ ชิ้นส่วนเป็นลำไส้ใหญ่ ชิ้นนี้ ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ชนิดใด ส่วนนี้จึงต้องส่งไปพิสูจน์ต่อไป
ในขณะเดียวกัน จนท.อีกนายพบ กระดูกชิ้นสะโพกติดกับเชิงกราน เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นกระดูกของเสือดำ ตัวดังกล่าว และใกล้กัน จนท.อีกคน พบกระดูกอีกชิ้นเป็นกระดูกขาที่ต่อกันได้ เป็นขาขวาสะโพกหลังพอดี และได้นำขึ้นมาจากน้ำ นำมาประกอบอีกครั้ง จึงมั่นใจว่า หลักฐานที่ได้มาทั้งสองวันนี้ เป็นหลักฐานสำคัญ เป็นหลักฐานใช้ประกอบ ในหลักวิทยาศาสตร์ ได้เป็นอย่างดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี