อัยการขยายเวลาอุทธรณ์นางเอกธิดาวานร “เอมี” ถึง 28 ต.ค.นี้ อธิบดีอัยการคดียาเสพติด ยันภาพหลักฐานของ“อัจฉริยะ”เชื่อไม่ใช่อัยการ รอสอบเชิงลึก พร้อมดำเนินคดีกลับหากสมอ้างอัยการ ส่วนคลิปเสียงจ่ายเงิน 5 แสนยันไม่ใช่อัยการคดียาเสพติดแน่นอน

2 ต.ค.61 นางชนิญญา ชัยสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดียาเสพติด กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานภาพถ่ายใบหน้าบุคคลอ้างเป็นอัยการ ร่วมช่วยเหลือคดียาเสพติดอดีตดาราสาว “เอมี” อาเมเรีย จาค็อบ นางเอกละครธิดาวานร ที่ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหามียาเสพติดในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ลงโทษเฉพาะข้อหาเสพไอซ์ ยาเสพติดประเภท 1 เท่านั้น ว่า หลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.ย.61 ตนได้ดูภาพบุคคลเบื้องต้นแล้ว ขอยืนยันเบื้องต้นว่าไม่ใช่คณะทำงานอัยการคดียาเสพติด5 คน ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้

อย่างไรก็ตาม บุคคลนั้นจะใช่อัยการหรือไม่ ก็ได้ส่งให้หน่วยงานของสำนักงานอัยการสูงสุดที่ดูแลเกี่ยวกับทะเบียนประวัติอัยการที่ทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 3,000 คนแล้ว พร้อมกับการสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ทั้งหมดตั้งแต่การพิจารณาสำนวน การสืบพยานในชั้นศาล

นางชนิญญา กล่าวอีกว่า วันนี้นายอัจฉริยะ ได้นำเอกสารมาให้อัยการเพิ่มเติม เกี่ยวกับการตรวจภาพบุคคลด้วย ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าวไม่ใช่อัยการโดยเรารับฟังและจะดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกต่อไป ถ้าเป็นกรณีแอบอ้างก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นเรารับฟังข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งการสอบสวนข้อเท็จจริงจากฝั่งตำรวจสังกัด บช.น.ด้วย ซึ่งวันนี้ได้ทำความเข้าใจกับนายอัจฉริยะแล้ว โดยการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้อัยการพยายามจะดำเนินการให้รอบคอบ รวดเร็วที่สุด หากมีความชัดเจนอย่างไรตนก็พร้อมจะแถลงข่าวให้ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงต่อไป

เมื่อถามถึงคลิปเสียงที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ที่บทสนทนาลักษณะเป็นผู้เสียหาย หรือคู่ความในคดีกับบุคคลที่ถูกเรียกว่าอัยการ และมีการพูดถึงเงิน 500,000 บาทนั้น นางชนิญญา กล่าวยืนยันว่า คลิปเสียงดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอัยการในคดีเอมีนี้ ส่วนจะเป็นอัยการส่วนใด จริงหรือไม่ เป็นคดีใด ยังไม่มีข้อมูลการตรวจสอบ

เมื่อถามถึงการพิจารณาอุทธรณ์คดีอดีตดาราสาวเอมี นางชนิญญา กล่าวว่า การพิจารณาว่าคดีมีประเด็นจะอุทธรณ์หรือไม่ตามขั้นตอนอัยการเจ้าของสำนวนในชั้นต้น ก็จะสรุปความเห็นเสนอสำนักงานอัยการคดีศาลสูงที่เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาชี้ขาด โดยคดีนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอัยการคดียาเสพติดก็ได้คัดคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ที่มีรายละเอียดทุกประเด็นมาพิจารณาแล้ว เบื้องต้นอัยการเจ้าของสำนวนมีความเห็นควรอุทธรณ์ในส่วนของเอมีแล้ว ซึ่งเป็นการพิจารณาตามข้อกล่าวหาที่ฟ้องไว้ครั้งแรกว่ามีข้อหาร่วมมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย

อย่างไรก็ตาม ตามขั้นตอนต้องรอให้อัยการคดีศาลสูงสุดพิจารณาและมีความเห็นในชั้นสุดท้ายด้วย ส่วนข้อกล่าวหาของแฟนหนุ่มอดีตดาราสาว เมื่อศาลมีคำพิพากษาครบตามข้อกล่าวหาซึ่งจำเลยนั้นก็ได้รับสารภาพจึงอาจไม่ต้องยื่นอุทธรณ์อีก

“อัยการเจ้าของสำนวนในชั้นต้นมีความเห็นควรให้อุทธรณ์ในส่วนของเอมีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากกรณีนายอัจฉริยะเข้าร้องเรียน และไม่ใช่จากกระแสสังคม แต่อัยการพิจารณาจากคำพิพากษาและประเด็นที่ได้มีการนำสืบในชั้นศาล” นางชนิญญา กล่าว

ด้านนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตามขั้นตอนหากการพิจารณาอุทธรณ์ และฎีกานั้น สำนักงานคดีศาลสูงจะเป็นผู้พิจารณา หากคดีเอมีนี้สำนักงานคดีศาลสูงเห็นว่ามีประเด็นต้องอุทธรณ์ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้เลย แต่หากเห็นว่าไม่อุทธรณ์ก็จะแจ้งให้ตำรวจทราบ คล้ายกับขั้นตอนการสั่งไม่ฟ้องคดี และหากตำรวจเห็นว่าควรต้องอุทธรณ์ตามสำนวนสอบสวนส่งมา ก็จะเสนอให้อัยการสูงสุดชี้ขาด ซึ่งระหว่างนี้หากยังยื่นอุทธรณ์ไม่ทันเวลา 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาตามกฎหมายก็ต้องยื่นขอขยายเวลาต่อศาล ซึ่งไม่มีข้อจำกัดจำนวนวัน และจำนวนครั้งที่ยื่น แต่เป็นไปตามเหตุความจำเป็น และเป็นดุลยพินิจของศาลว่าจะอนุญาตให้ขยายเวลาหรือไม่ กี่วัน ถ้าศาลเห็นว่าขยายเวลาเนิ่นนานเกินไปแล้วก็อาจจะไม่อนุญาต ก็จะต้องยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพิจารณาจะยื่นอุทธรณ์คดีในส่วนของอดีตดาราสาวเอมีหรือไม่นั้น ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.61 พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลจังหวัดมีนบุรีแล้ว ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาได้อีก 30 วัน ไม่เกินวันที่ 28 ต.ค.นี้

ขณะที่ในส่วนของเอกสารหลักฐานที่นายอัจฉริยะ นำมาแสดงเพิ่มเติมให้กับอัยการ มีรายงานแจ้งว่า ปรากฏว่าเป็นภาพบุคคลซึ่งนายอัจฉริยะได้ตรวจสอบเองด้วย โดยบุคคลตามภาพถ่ายนั้นเป็นชาย อายุปรากฏประมาณ 50 ปี สวมเสื้อมีตราสำนักงานอัยการสูงสุดที่กระเป๋าเสื้อ โดยไปปรากฏตัวยังเรือนจำและสถานีตำรวจ ซึ่งอัยการได้ร่วมตรวจดูแล้วเห็นว่า ไม่ใช่พนักงานอัยการ