7 ก.พ.62 พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง 1 ในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการฟื้นฟูชาวมอแกนที่หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา ภายหลังจากหมู่บ้านถูกไฟไหม้กว่า 60 หลังซึ่งทางจังหวัดและอุทยานฯ กำลังเร่งสร้างบ้านหลังใหม่แต่หลายฝ่ายยังกังวลเรื่องแบบบ้านและพื้นที่ที่ชาวเลอยู่กันอย่างแออัดและไม่มีการขยายเพิ่มขึ้น ว่าก่อนจะเดินหน้าอะไรควรสร้างความเข้าใจหรือหลักคิดให้ตรงกันก่อนว่า 1.ชาวเลอยู่ในพื้นที่อันดามันมาก่อนตั้งประเทศไทยและก่อนจัดตั้งอุทยาน ดังนั้นโดยหลักนิติธรรมแล้วไม่ควรทำอะไรที่ไปกระทบสิทธิที่มีอยู่เดิมของพวกเขา
พลเอกสุรินทร์ กล่าวว่า 2.ต้องไม่มีการทำลายวิถีชีวิตที่ชาวเลอยู่กันมายาวนาน หรือหากมีการอนสิทธิก็ต้องหาทางออกให้พวกเขาด้วย อย่างกรณีเกิดสึนามิก็มีคนใช้โอกาสกวาดชุมชนชาวเล 13 แห่งออกจากพื้นที่ เพราะฉะนั้นในการเกิดไฟไหม้ใหญ่ครั้งนี้ก็ไม่ควรถือโอกาสกวาดต้อนชาวบ้าน เพราะต้องไม่ลืมว่าชาวมอแกนอยู่บริเวณนี้มาก่อนอุทยาน ดังนั้นเขาควรได้รับสิทธิเดิมโดยการสร้างบ้านหลังใหม่ที่มั่นคงและถูกสุขลักษณะรวมทั้งถูกวิถีชีวิต เช่น อยู่ไม่ไกลจากที่จอดเรือ
“เมื่อก่อนชาวมอแกนเขาอยู่กันตามอ่าวต่างๆกระจัดกระจายแต่ถูกกวาดต้อนมาไว้ที่เดียวกัน ดังนั้นเมื่อเกิดความแออัดก็ควรขยายพื้นที่ให้พวกเขา พวกเขาอยู่มาก่อนแต่คุณไปยึดเขามา ก็ควรคืนให้เขาบ้าง ผมได้โทรศัพท์คุยกับรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการให้เรียกประชุมคณะกรรมการชาวเลโดยเร่งด่วนเพื่อหยิบยกเรื่องชาวมอแกนเกาะสุรินทร์มาพิจารณา โดยเชิญฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอุทยานฯ ผู้แทนคณะกรรมการกฤษฏีกา ผู้แทนอัยการสูงสุด ผู้แทนสภาทนายความ และคนอื่นๆมาร่วมหารือกัน และว่าที่สำคัญคืออยากเชิญฝ่ายปกครองให้มาเป็นหลักทำหน้าที่เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิตามกฎหมายเพราะไม่มีกฎหมายข้อใดที่ให้อำนาจหน่วยราชการไล่คนที่อยู่ก่อนออกนอกพื้นที่ ” พลเอกสุรินทร์ กล่าว
พลเอกสุรินทร์ กล่าวว่า ชาวเลไม่ใช่แค่คนที่รอรับการช่วยเหลือเท่านั้น เขาควรอยู่อย่างมีศักดิศรีเหมือนประชาชนทั่วไป กรณีของชาวมอแกนที่ถูกไฟไหม้ก็ควรเปิดโอกาสได้ขยับขยายบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่กันอย่างแออัดหรือมัดมือมัดเท้าพวกเขาจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
นายสุริยัน กล้าทะเล ชาวมอแกนหมู่เกาะสุรินทร์ กล่าวว่า หากสร้างบ้านขนาดเท่าเดิมเหมือนกับที่สร้างหลังสึนามิก็ถือว่าเล็กไปหน่อย เนื่องจากปัจจุบันครอบครัวขยาย บางบ้านอยู่กัน 2 ครอบครัวทำให้แออัด ซึ่งตอนนี้คนที่บ้านถูกไฟไหม้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านใหม่จะเป็นอย่างไรเพราะไม่มีใครถาม แต่หากทำแบบเดิมก็ควรสร้างให้หน้าจั่วบ้านเยื้องกัน เพราะเป็นความเชื่อว่าหากสร้างจั่วบ้านตรงกันจะทำให้เจ็บป่วย
“จริงๆแล้วในหาดเดิมที่ถูกไฟไหม้ยังมีพื้นที่หน้าหาดอีกมุมหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างบ้านได้อีกสัก 20-30 หลัง แต่อุทยานฯไม่อนุญาตทั้งๆที่พื้นที่เก่าอยู่กันอย่างแออัด หากขยายออกไปจะช่วยลดความแออัดได้อีกเยอะ” นายสุริยัน กล่าว
ด้านนางสุนี ไชยรส อาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สังคมไทยมีบทเรียนที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวเลเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะจากสึนามิ ดังนั้นสิ่งที่ควรตระหนักในการช่วยสร้างบ้านและพัฒนาชุมชนให้ชาวมอแกนในหมู่เกาะสุรินทร์ในวันนี้ คือสังคมไทยทั้งเอกชนและรัฐซึ่งมีน้ำใจช่วยเหลือกันมากมาย ทั้งเงินข้าวของรวมทั้งสร้างบ้าน เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ขออย่าคิดง่ายๆโดยไม่ยอมรับและเข้าใจวิถีชีวิต และไม่ยอมให้ผู้ประสบภัยได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตตนเอง และที่สำคัญอย่าโยกย้ายพวกเขาออกจากถิ่น และการออกแบบบ้านให้คำนึงถึงวัฒนธรรมของเขา การช่วยเหลืออาชีพก็ต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตเดิมด้วย รวมทั้งช่วยพิจารณาเรื่องสัญชาติให้รวดเร็วขึ้นด้วย
นายไมตรี จงไกรจักร เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ กล่าวว่า การสร้างบ้าน ฟื้นชุมชนมอแกนหลังไฟไหม้ ควรเป็นโอกาสในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลตามมติคณะรัฐมนตรี และการสร้างบ้านนั้นไม่ใช่การออกแบบบ้าน เพื่อสร้างบ้านเท่านั้น แต่ต้องออกแบบชุมชนตามวิถีชีวิตซึ่งความเป็นจริง ประธานคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางจิตวิญญาณชาวเล ควรจัดประชุมอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงเพื่อการฟื้นฟูชาวเลด้วยกลไกกรรมการ จะทำให้ฟื้นฟูด้วยความเข้าใจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี