พระกัมพูชาหนีเข้าเมืองสวมสิทธิ์บัตรประจำตัวประชาชนคนไทยพร้อมทนายความเข้ามอบตัวกับ สภ.กันทรลักษ์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับของศาลจังหวัดกันทรลักษ์แล้ว แต่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 19 ธันวาคม 2562 ที่สถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ต.อ.คารม บุญสด ผกก.สภ.กันทรลักษ์ พร้อมด้วย ร.ต.อ.จำเนียร เฟื่องยศ รอง สว.ตม.จ.ศรีสะเกษ, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.กันทรลักษ์, ตำรวจ กองร้อย ตชด.ที่ 224 ร่วมกันรับมอบตัวของพระจักรพันธ์ ธัมมรักขิโต หรือ จักรพันธ์ ไชยแก้ว อายุ 52 ปี พระลูกวัดบ้านสังเม็ก ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ ตามหมายจับของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ซึ่งเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนพร้อมกับนายสมจิตร ข่วยพันธ์ ทนายความ โดยมีมวลชนที่สนับสนุนพระจักรพันธ์ ประมาณ 100 คนมาชุมนุมเพื่อคอยให้กำลังใจ
ด้วยเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 กองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้รับหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีเมื่อประมาณปี พ.ศ.2537 พระกันยา ไชยแก้ว เป็นบุคคลต่างด้าว (ประเทศกัมพูชา) ได้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมาจำพรรษาอยู่ในวัดสังเม็ก หมู่ที่ 1 ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 ได้สวมสิทธิทำบัตรประจำตัวประชาชนของนายบุญทำ ไชยแก้ว ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วแต่ไม่ได้แจ้งตาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพระจักรพันธ์ ไชยแก้ว และมีพฤติกรรมในการสร้างความแตกแยกให้กับคณะสงฆ์และชาวบ้าน ข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบคณะสงฆ์ เช่นจัดกิจกรรมเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำเงินไปใช้ในการส่วนตัว ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จึงได้มอบหมายให้ ผู้บังคับการ ตม.4 สั่งการให้ ผกก.ตม.จ.ศรีสะเกษ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ต่อมานายอำเภอกันทรลักษ์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งอำเภอกันทรลักษ์ ที่ 661/2562 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่า พยานบุคคลในครอบครัวของนางเศียร ไชยแก้ว อ้างว่าเป็นมารดา ให้ปากคำในทิศทางเดียวกันว่าเป็นคนไทยและมิได้สวมสิทธิตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง แต่ จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ จากข้อมูลทะเบียนราษฎร และในทะเบียนประวัติพระภิกษุวัดบ้านสังเม็ก ซึ่งขณะนั้นพระอธิการประกอบ พีรธมฺโม เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านสังเม็ก (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) พระอธิการประกอบ ท่านจะจดบันทึกไว้ พร้อมทั้งถ่ายสำเนาใบสุทธิของพระจักรพันธ์ ซึ่งเป็นใบสุทธิพระกัมพูชาไว้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งมีภาพถ่ายใบหน้าประกอบเทียบเคียงใบหน้าแล้วคล้ายพระจักรพันธ์
และเอกสารดังกล่าวรับรองการแปลโดยหน่วยประสานงานชายแดนประจำพื้นที่ 1 สาระสำคัญระบุว่า บุคคลผู้ถือบัตรนี้ชื่อ เตง กซาน เกิดที่ตำบลโอร์กันดาล อำเภอกรอโกร์ จังหวัดโพธิสัตย์ อุปสมบทเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2532 ขณะอายุ 21 ปี ฉายาว่า ธัมมรักขิโต, เมื่อตรวจสอบ ประวัติการลงบัญชีทหาร ของนายจักรพันธ์ (นายบุญทำ) ไชยแก้ว และพี่น้องร่วมบิดามารดา ซึ่งเป็นชายไทย มีหน้าที่ต้องลงบัญชีทหารกองเกินจากหน่วยสัสดีอำเภอกันทรลักษ์ ผลปรากฏว่าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทุกคน เป็นผู้ลงบัญชีทหารกองเกินทั้งสิ้น ยกเว้นนายจักรพันธ์ (นายบุญทำ) ซึ่งไม่พบประวัติการลงบัญชีทหารแต่อย่างใด
อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่านายจักรพันธ์ (นายบุญทำ) ไชยแก้ว ขอมีบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 ขณะนั้นอายุ 37 ปี ยิ่งกว่านั้นเมื่อคณะกรรมการตามคำสั่งของนายอำเภอกันทรลักษ์ ได้ขอความร่วมมือในการตรวจหาสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับพิสูจน์สัญชาติ ความเป็นแม่ลูกของนายจักรพันธ์ ไชยแก้ว และนางเศียร ไชยแก้ว อ้างว่าเป็นมารดา ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมให้ตรวจ แต่ได้นำชาวบ้านมากดดันการทำงานของคณะกรรมการดังกล่าว และเมื่อนายจักรพันธ์ ไชยแก้ว ให้ถ้อยคำแล้วไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกถ้อยคำแต่อย่างใด
จากนั้นนายอำเภอกันทรลักษ์ได้มีคำสั่ง นายทะเบียนอำเภอกันทรลักษ์ ได้มีคำสั่งระงับความเคลื่อนไหวรายการทะเบียนราษฎร รายบุคคลนายจักรพันธ์ ไชยแก้ว หมายเลขประจำตัวประชาชน 3 3304 00094 35 7 อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 1 ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กรณีเชื่อได้ว่าจัดทำหลักฐานรายการทะเบียนราษฎรโดยมิชอบและนายอำเภอกันทรลักษ์จึงได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอกันทรลักษ์มาแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
พ.ต.อ.คารม บุญสด ผกก.สภ.กันทรลักษ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับการแจ้งความร้องทุกข์และสอบปากคำผู้ร้องแล้วพน้กงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลจังหวัดกันทรลักษ์ออกหมายจับเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 ในข้อหาคือ 1.ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทยด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่, 2.แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตร, 3.ใช้หรือแสดงบัตรอันเกิดจากการยื่นคำขอมีบัตรโดยไม่ได้มีสัญชาติไทยด้วยแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่,
4.เป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ ทำ ใช้ หรือ แสดง หลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้ตนมีชื่อหรือรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ, 5.แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, 6.แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน,
7.ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และ 8.เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
"วันนี้ผู้ต้องหาตามหมายจับได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนและให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนสอบปากคำในเบื้องต้นแล้วได้นำตัวพระจักรพันธ์ ส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทางทนายความได้ยื่นอุทธรณ์ทันที ซึ่งศาลอุทธรณ์จะพิจารณาในช่วงบ่ายนี้คาดว่าจะรู้ผลไม่เกิน 16.00 น." พันตำรวจเอกคารม กล่าว
นายสมพร สุรีรัมย์ อายุ 43 ปี หนึ่งในชาวบ้านที่มาร่วมให้กำลังใจพระจักรพันธ์ กล่าวว่า วันนี้ก็มาให้กำลังใจหลวงพ่อ ตามที่พวกตนชาวบ้านมีศรัทธาต่อหลวงพ่อ ซึ่งท่านอยู่ในวัดเป็นที่เคารพศรัทธา หลวงพ่ออยู่ที่นี่มานาน ตั้งแต่วัดนี้ยังไม่มีอะไรมาก ท่านได้สร้างอุโบสถ ศาลาจนวัดนี้มีพร้อมทุกอย่างแต่มีชาวบ้านบางส่วนที่มากลั่นแกล้งหาเรื่องท่าน จึงขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองได้ฟังความทั้งสองด้าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี