เจ้าของฟาร์ม ชื่อดัง อ.บ่อพลอย หนุนโครงการ “โคขุนสร้างชาติ” แนะเกษตรกรชาวกาญจน์ จดทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจ เข้าร่วม พร้อมชวนรับฟังรายละเอียดโครงการ จากทีมงาน รอง รมช.เกษตรฯ 15 ก.พ.นี้ ที่ “ทศพล ฟาร์ม”
จากกรณีรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่าง กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมปศุสัตว์ กับธ.ก.ส.เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติซ้ำซากในหลายพื้นที่ของประเทศ จึงมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนให้ประกอบอาชีพสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดย 1 ในนั้นคือ “โครงการ โคขุนสร้างชาติ”
ล่าสุดวันที่ 13 ก.พ.63 นายทศพล พาณิชย์อำนวยสุข หรือโก้ยุ่ง อายุ 53 ปี เจ้าของ “ทศพล ฟาร์ม” เลขที่ 38 หมู่ 11 ต.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตนเปิดฟาร์มเลี้ยงโคพันธุ์บราห์มัน และกระบือ บนเนื้อที่กว่า 200 ไร่มาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว หลักแนวคิดง่ายๆก็คือว่า เราอยากหาอะไรมาซัพพอร์ตในที่ดินของเรา ก็เลยลองทำการเกษตร สมมุติว่าเราปลูกข้าวลงดินไป 1 เม็ด เราได้มา 100 เม็ด แต่เกษตรกรก็ยังไม่รวย อ้อย 1 ลำ ปลูกได้ 5 กอ กอละ 10 ลำ หรือปลูก 1 ลำได้ 50 กอ เกษตรกรก็ยังไม่รวย ทำอย่างไรเกษตรกรก็ยังไม่รวยอยู่ดี
ต่อมาลองมาเลี้ยงไก่และวัว สุดท้ายการลองผิดลองถูกมาจบอยู่ที่การเลี้ยงวัว ซึ่งการเลี้ยงวัวก็จะมีโมเดลให้กับเกษตรกรง่ายๆก็คือว่า ถ้าเกษตรกรมีที่ดินอยู่ประมาณ 30 ไร่ แล้วเลี้ยงวัวประมาณ 12 ตัว เมื่อลูกวัวออกมาครั้งแรก จำนวน 12 ตัว เกษตรกรก็อย่าเพิ่งขาย และถ้าหากลูกวัวออกมาครบ 36 ตัว เกษตรกรจึงนำไปขาย โดยให้ขายเดือนละ 1 ตัว โดยเฉพาะวัวที่เกิดก่อน ซึ่งจะมีรายได้มากถึงเดือนละ 3-5 หมื่น ซึ่งตนมีแนวคิดเช่นนี้ ฟาร์มของตนจึงมีการพัฒนาขึ้นมาใหญ่ขึ้น ปัจจุบันฟาร์มของตนมีโคพันธุ์บราห์มันอยู่ประมาณ 190 ตัว ส่วนกระบือมีอยู่ จำนวน 32 ตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอบ่อพลอย มองอย่างไร่กับ “โครงการ โคขุนสร้างชาติ” ของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”โก้ยุ่ง ตอบว่า สำหรับโครงการนี้ตนเป็นตัวแทนผู้ซื้อในจังหวัดกาญจนบุรี โดยโครงการเป็นโครงการที่ดี ส่วนตัวแล้วเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมกลุ่มจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจ มีเงินใช้ในระยะสั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้ว อีกประมาณ 4 เดือนเท่านั้นเกษตรกรก็จะมีรายได้แล้ว
สำหรับหลักการของโครงการก็คือ ให้เกษตรกรที่ให้ความสนใจ รวมตัวกันกลุ่มละ 10 คน จากนั้นให้ไปจดทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจที่เกษตรอำเภอ เมื่อได้รับอนุญาต ก็ไปยื่นให้กับปศุสัตว์อำเภอ เมื่อปศุสัตว์รับรอง ตนในฐานะเป็นตัวแทนผู้ซื้อโคขุน ก็จะดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรับซื้อคืนจาก ธ.ก.ส.จากนั้นทาง ธ.ก.ส.จึงจะปล่อยเงินให้กับกลุ่มเกษตรกร
สำหรับวิธีการปล่อยเงินนั้น ธ.ก.ส.จะปล่อยให้เป็นวัวและอาหารแทน โดยเกษตรกรจะได้รับเฉพาะเงินที่เป็นส่วนต่างเท่านั้น โดยโมเดลก็คือ วิสาหกิจ 1 กลุ่ม มี 10 คน เกษตรกรจะได้คนละเงิน 1 ล้านบาท วัวตัวละ 5 หมื่นบาท นั่นหมายถึงเกษตรกรจะได้วัวคนละ 20 ตัว เมื่อวัวขุนได้น้ำหนักตามที่กำหนด ก็จะมีการทยอยรับซื้อโคขุนจากเกษตรกรกลุ่มละประมาณ 50 ตัว เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ไปหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 20,000-25,000 บาทในแต่ละเดือน
สำหรับแผนการเรื่องการตลาดนั้นคือ เราเป็นตำแทนคอกกลางระดับจังหวัด เมื่อซื้อแล้วก็จะส่งไปยังคอกกลางที่ส่วนกลาง เพื่อส่งไปขายที่ประเทศจีน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)กับประเทศจีนไปแล้ว
ทั้งนี้ นายทศพล พาณิชย์อำนวยสุข หรือโก้ยุ่ง ยังฝากไปถึงเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการว่า หากเกษตรกรกลุ่มใดไม่มีพื้นที่ในการสร้างโรงเรือน สามารถมาพบตนได้เลย ตนยินดีจะมอบพื้นที่ที่อยู่รอบๆฟาร์มให้สร้างโรงเรือนได้ หรือหากขาดเหลืออะไรตนจะช่วยจัดการให้
สำหรับวันเสาร์ที่ 15 ก.พ.เวลาประมาณ 15.30 น.จะมีคณะของท่านประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาให้ข้อมูลเพื่อชี้แจงรายละเอียดของโครงการ ให้เกษตรได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในวันดังกล่าวคาดว่าจะมีเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มาร่วมรับฟังมากกว่า 200 คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี