“ปูม้า (Blue Swimming Crab)” หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Portunus Pelagicus เป็นสัตว์ที่พบได้ในท้องทะเลของไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ปูม้าถูกนำไปทำอาหารหลากหลายชนิดหรือแม้กระทั่งทำน้ำพริก จึงจัดเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” อีกชนิดหนึ่ง แต่เพราะตลาดมีความต้องการสูงนี้เองทำให้ปูม้าลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาทิ ในปี 2557 กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เผยแพร่บทความ “ปูม้าตัวใหญ่มีจำนวนลดลง พวกเราจะช่วยได้อย่างไร?” บนหน้าเว็บไซต์ภาคภาษาไทยขององค์กร ระบุว่า..
“เมื่อพูดถึงปูเรามักนึกถึงอาหารทะเลหรือสิ่งมีชีวิตที่วิ่งอยู่บนชายหาด แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักไม่ค่อยนึกถึงคือ ปูบางชนิดให้โอกาสในการทำมาหากินที่สำคัญแก่ชาวบ้านที่มีทางเลือกจำกัดในการหาเงินเพื่อการดำรงชีวิต นี่คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปูม้า ปูม้ามีการแพร่กระจายอยู่ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงออสเตรเลีย ปูม้าได้ชื่อว่าเป็นอาหารอันโอชาสำหรับผู้คน และทุกวันนี้ธุรกิจมีกำไรมากและมีโอกาสในการพัฒนาเกี่ยวกับการประมงปูม้า
โดยในปี 2554 การประมงปูม้าในประเทศไทยสร้างมูลค่าได้มากถึง 3,200 ล้านบาท ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงการส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกในรูปของเนื้อปู ปูม้ามีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามมากขึ้น ปูม้าขนาดเล็ก (หรือปูที่มีอายุน้อย) พบถูกนำมาขายในตลาดหรือร้านอาหารเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก เพราะหากไม่มีปูวัยเจริญเติบโตมาแทนปูที่โตเต็มวัยจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่ออัตราการเจริญเติบโตของประชากรปูม้าในอนาคต”
จากปัญหาที่เกิดขึ้น นำมาสู่ความพยายามใช้ประโยชน์จากปูม้าอย่างยั่งยืน นอกจากมาตรการทางกฎหมายอย่างการกวดขันไม่ให้ใช้เครื่องมือประมงที่มีลักษณะทำลายล้างกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รวมถึงรณรงค์ไม่จับปูหรือสัตว์น้ำอื่นๆ ที่ยังไม่โตเต็มวัยแล้ว “การเพิ่มประชากรปูม้า” ก็เป็นอีกด้านที่หลายฝ่ายลงมือทำ ดังที่ผ่านมาจะปรากฏคำว่า“ธนาคารปูม้า” ที่ชาวประมงพื้นบ้านร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ นำไข่แม่ปูมาเพาะในสถานที่ปิดเพื่อให้ลูกปูมีโอกาสอยู่รอดเพิ่มขึ้นก่อนนำปล่อยคืนสู่ท้องทะเลต่อไป
“ที่เราปล่อยจะเป็นไซส์ยังแคร็บ(Young Crab หรือปูวัยอ่อน) แล้ว ซึ่งเปอร์เซ็นต์รอดถ้ามีที่หลบ มีอาหารกินที่ดี ระยะของปูม้า ที่บอกว่าซูเอี้ย (Zoea) จะเป็นแบบนี้อยู่ 10-12 วัน เป็นระยะที่ฟักออกจากไข่วันแรก จากซูเอี้ยมาเป็นเมกะโลปา (Megalopa) ใช้เวลาประมาณ 10 วัน แต่ก็ยังไม่เหมือนลูกปู แต่ระยะที่เราปล่อยวันนี้เป็นยังแคร็บ ไซส์ที่เราปล่อยเราใช้ระยะเวลาอนุบาลอยู่ที่สิบกว่าวัน วงจรชีวิตก็จะประมาณนี้”
สิริวรรณ หนูเซ่ง นักวิชาการประมงชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 3 (สุราษฎร์ธานี) อธิบายวงจรชีวิตของปูม้าให้กับคณะผู้บริหารของ บริษัท ซีพีแรม จำกัด รวมถึงคณะสื่อมวลชนที่เข้าเยี่ยมชมศูนย์ฯ โดยการทำงานเริ่มจากการรวบรวมแม่ปูจากธรรมชาติ เช่น รับซื้อจากแพปูหรือจากเรือประมง สำหรับปูม้านั้นระยะแรกไข่จะอยู่ในกระดอง ต่อมาเมื่อหน้าท้องเปิดก็จะเห็นไข่ชัดเจนหรือขั้นไข่นอกกระดอง ซึ่งไข่นอกกระดองจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากเหลืองอมส้มเป็นเหลืองปนเทา สีเทา และเทาอมดำซึ่งระยะนี้คือระยะวางไข่
สำหรับอาหารที่ใช้อนุบาลลูกปูม้า อาทิ “แพลงก์ตอนพืช” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “น้ำเขียว” ชนิดที่ใช้กันทั่วไปคือ สาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella sp.) ใช้คู่กับหัวเชื้อ โรติเฟอร์ (Rotifer) หรือแพลงก์ตอน สำหรับซูเอี้ยระยะที่ 1-2 ส่วนซูเอี้ยระยะที่ 3-4 จะสามารถกิน อาร์ทีเมีย(Artemia) หรือไรน้ำเค็ม โดยผู้เลี้ยงจะต้องนำอาร์ทีเมียมาเพาะเตรียมไว้ก่อนจากนั้นเมื่อกลายเป็นเมกะโลปาก็จะต้องใส่“วัสดุหลบซ่อน” เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและเมื่อได้ลูกปูม้าระยะปูวัยอ่อนหรือ Young Crab แล้วนำไปในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โอกาสที่จะรอดก็มีสูงมาก
“มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2546 ใช้กิ่งสนทำมาโดยตลอด อัตรารอดก็ดีนะไม่ใช่ไม่ดี แต่ที่เราต้องปรับเปลี่ยนเพราะอยู่นานๆ ไม่ได้เน่าแต่ใบจะร่วง จะยากในการจับลูกปู แต่ถ้าเป็นอวน เราสะบัดอวนทีเดียวมันง่ายกว่า อวนไม่ใช่ว่าเราจะซื้อในราคาแพง ที่ชาวประมงเขาทำปูม้าแล้วเขาตัดปูที่ติดที่อวนแล้วเขาก็ตัดอวนทิ้ง เราก็ไปซื้อกิโลละไม่กี่บาทเอง ก็เลยเอามาใช้ประโยชน์” สิริวรรณ เล่าถึงการทำวัสดุหลบซ่อน
ในวันเดียวกันนั้นเองยังมี “พิธีเปิดโครงการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเพาะฟักลูกปู” โดยความร่วมมือระหว่างศูนย์วิจัยและพัฒนาการได้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 3 (สุราษฎร์ธานี) กับบริษัท ซีพีแรม จำกัด ซึ่ง สุทธินี ลิ้มธรรมมหิศร ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง กล่าวว่า ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ สนับสนุนและส่งเสริมด้านวิชาการ เพื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชมนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอด เพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงปูม้าอย่างยั่งยืนต่อไป
ขณะที่ สาธิต แสงเรืองอ่อนผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรมจำกัด กล่าวว่า ลูกค้าเมื่อซื้ออาหารของบริษัทผลกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งจะถูกนำกลับไปตอบแทนต่อชุมชนและสังคม แต่บริษัท ทำเองไม่ได้ จำเป็นต้องมีพันธมิตร ซึ่งในส่วนของภาครัฐก็คือกรมประมง ด้วยการร่วมกันพัฒนาพันธุ์และนำปูม้าไปปล่อย จึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้มาช่วยกันให้ปูม้าในทะเลไทยมีความยั่งยืน ส่งต่อทรัพยากรอันมีค่านี้ให้กับรุ่นลูกหลานต่อไป
ย้อนไปเมื่อต้นปี 2560 ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” นำเสนอเรื่องราวของชาวบ้านในพื้นที่ ต.เขาแดง อ.สิงหนคร จ.สงขลา รวมตัวกันจัดตั้งธนาคารปูม้า โดยได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 6 สงขลา ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ภายใต้หลักคิดที่ว่า “เมื่อชาวประมงเข้าใจก็จะหวงแหนและปกป้อง” (“ธนาคารปูม้า” ต้นแบบ “ประมง...รักษ์ทะเล” : หน้า 13 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 1 มี.ค. 2560) ซึ่งทุกวันนี้กิจกรรมธนาคารปูม้าและการปล่อยลูกปูม้าที่เพาะเลี้ยงคืนสู่ท้องทะเลเป็นที่รู้จักมากขึ้น
เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของภาพใหญ่คือหลักการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างสมดุลเพื่อให้เกิดความยั่งยืน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี