วันที่ 8 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องแกรนต์ราชพฤกษ์ โรงแรมทีค การ์เด้น รีสอร์ท อ.เมืองจ.เชียงราย กลุ่มชาติพันธุ์จากหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ กว่า 700 คน ได้ร่วมกันจัดประชุมขึ้นเพื่อจัดตั้งเป็น "พรรคพลังชาติพันธุ์" โดยผู้ที่จัดต่างเป็นตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์หรือชาวเขาในแต่ละจังหวัดที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวด้านต่างๆ เช่น นายสุพจน์ หลี่จา นายกสมาคมสร้างเสริมสุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์ นางรุจิรา ใจจักร์ นายกสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่าเชียงราย นายวุฒิพงษ์สวรรค์โชติ นายกสมาคมลาหู่ในประเทศไทย ฯลฯ
สำหรับกิจกรรมภายในงานมีการจัดแสดงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์และประเพณีพื้นเมือง ก่อนที่ ดร.บัณฑิต แสงเสรีธรรม จะทำหน้าที่ในการประชุมเพื่อการจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการโดยมีตัวแทนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จ.เชียงราย เข้าร่วมสังเกตุการณ์ด้วย
ซึ่งทาง ดร.บิณฑิต และคณะได้นำเสนอเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองดังกล่าว โดยเฉพาะการดำเนินการให้มีสมาชิกพรรคจำนวน 500 คน ดังนั้นจึงมีการจัดประชุมในครั้งนี้โดยเป็นการรวมพลังกันของกลุ่มชาติพันธุ์ทุกชนเผ่าเพื่อจะร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา พัฒนาและผลักดันเรื่องต่างๆจากนั้นได้มีการจัดให้มีการจัดให้มีการเสนอชื่อและเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ภายในพรรค
ทั้งนี้ในที่ประชุมได้เลือกนายชาญยุทธ เฮงตระกูล เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และมีรองหัวหน้าพรรคจำนวน 8 คน มีนายบัณฑิต แสงเสรีธรรม เป็นเลขาธิการพรรค นายสุพจน์ หลี่จา เป็นโฆษกพรรค เป็นต้น ซึ่งพบว่าแต่ละคนต่างมาจากกลุ่มชาติพันธุ์เผ่าต่างๆ เช่น อาข่า ม้ง ปกาเกอะญอ เมี่ยน ลาหู่ ฯลฯ และบางส่วนเป็นคนไทยพื้นราบที่มีการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองเป็นครั้งแรก ซึ่งการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบการจัดตั้งพรรคการเมืองที่ให้มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1 ล้านบาทและมีผู้ร่วมจัดตั้งรายละไม่เกิน 50,000 บาท จึงมีการตั้งโต๊ะเพื่อเปิดให้สมาชิกทั้งหมดระดมทุนด้วย
โดยนายชาญยุทธ กล่าวว่า สำหรับการรวมตัวกันครั้งนี้เพราะต่างมีอุดมการณ์ร่วมกันโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคน และมีผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งต้องการให้มีการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น สิทธิที่ดินทำกิน ฯลฯ และที่ผ่านมายังไม่มีการแก้ไขปัญหาดังนั้นพวกจึงต้องมีตัวแทนเพื่อให้เข้าไปผลักดันแนวทางต่างๆ ให้กระนั้นเนื่องจากเป็นพรรคการเมืองที่ต้องทำงานให้กับทุกจังหวัดทั่วประเทศดังนั้นหากได้รับเลือกตั้งก็จะผลันดันการพัฒนาด้านอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้หลังจัดตั้งพรรคแล้วจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 250 เขตเลือกตั้งทั่วประเทศ และกรณีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นั้นก็จะพิจารณาบุคคลที่มีความสนใจในนโยบายของพรรคซึ่งก็เปิดกว้างให้เข้ามาร่วมมกันได้ ซึ่งหากมีการเลือกตั้ง ส.ส.ก็คาดว่าพรรคจะได้ที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง ซึ่งก็เพียงพอที่จะเป็นตัวแทนในการผลักดันการเสนอกฎหมายต่างๆ ได้ต่อไป
ทางด้านนายวุฒิพงศ์ สวรรค์โชติ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า ในอดีตนั้นนักการเมืองที่ไปหาเสียงกับชาวบ้านโดยเฉพาะบนพื้นที่สูงที่เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์อ้างว่าจะรับใช้ประชาชนแต่เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วก็หายไป ดังนั้นเมื่อมองย้อนไปที่กลุ่มชาติพันธุ์ในปัจจุบันก็พบว่ามีศักยภาพมากขึ้นและการศึกษาของแต่ละคนก็ดี ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองเพื่อผลักดันการพัฒนาด้านต่างๆ โดยลำดับต้นๆ คือการแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำโดยขณะที่พื้นที่ราบมีการพัฒนาสาธารณูปโภค แต่บนภูเขากลับมีปัญหา เช่น ถนน ประปา ไฟฟ้า สิทธิที่ดินทำกิน การประกาศเขตป่าต่างๆ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่มีตัวแทนที่เข้าใจปัญหาพื้นที่มากที่สุดมาก่อน
นายวุฒิพงศ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อมีพรรคการเมืองจะทำให้มีตัวกลางที่ทำให้โครงการพัฒนาต่างๆ คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะ จ.เชียงราย ที่มีประชากร 1.2 ล้านคน พบว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ 30-40% หากว่าไม่ได้รับเลือกตั้งก็ยังสามารถทำกิจกรรมนอกสภาได้ ส่วนกรณีที่จะมีพรรคการเมืองอื่นๆ เข้าแทรกแซงนั้น ตนมีความกังวลอยู่บ้าง แต่เราเน้นการสร้างสรรค์ ไม่พยายามขัดแย้ง จึงเชื่อว่าจะสามารถก้าวหน้าไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี