เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา มีการจัดงาน “End Crime, Not Life: ถ้าการเมืองดีโทษประหารชีวิตก็ไม่จำเป็น” ที่ร้านหนังสือ (๒๕๒๑) โดยมูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เนื่องในวันยุติโทษประหารชีวิตสากล (World Day against the Death Penalty) ที่กำหนดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานคือสิทธิในการมีชีวิต อีกทั้งโทษประหารยังเป็นการทรมานต่อร่างกายและจิตใจต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย
นพ.มารุต เหล็กเพชร ผู้ร่วมก่อตั้งร้านหนังสือ (๒๕๒๑) กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานทั้งยังบอกว่าร้านหนังสือ (๒๕๒๑) เป็นพื้นที่ที่ปกติมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับหนังสือและฉายหนังอยู่แล้ว เราคิดว่าชีวิตผู้คนเชื่อมโยงกับประเด็นต่างๆ ในสังคม รวมถึงเรื่องความยุติธรรมและโทษประหาร จึงเกิดเป็นพื้นที่การพูดคุยและนิทรรศการนี้ขึ้น จากนั้นมีการเปิดคลิปวีดีโอ โทชิ คาซามะ ช่างภาพเจ้าของผลงาน “Lives Matters” ที่สะท้อนมุมมองของช่างภาพที่มีโอกาสได้ถ่ายรูปนักโทษเยาวชนในแดนประหาร
งานวันดังกล่าวยังมีการเสวนาหัวข้อ “กระบวนการยุติธรรม-แพะ-โทษประหารชีวิต-เรา” มีผู้ร่วมเสวนา อาทิ ฟาโรห์ จักรภัทรานน ผู้ทวงความเป็นธรรมให้ “ซีอุย” เล่าว่า ได้ยินเรื่องของซีอุยมาตั้งแต่เด็กว่าซีอุยเป็นชาวจีนอพยพและเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเด็กและกินเครื่องใน พร้อมกับคำขู่ของพ่อแม่ว่าระวังซีอุยมากินตับ ญาติเคยพาไปดูพิพิธภัณฑ์ซีอุย เป็นร่างแห้งๆ ถูกโชว์ในตู้กระจก ต่อมาเมื่อโตขึ้นพบข้อมูลอีกชุดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เคยรู้มา คือการบอกว่าซีอุยอาจไม่ใช่ผู้กระทำผิดและอาจไม่ใช่มนุษย์กินคน ซึ่งหนึ่งในคนที่บอกเรื่องนี้คือแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรม
ด้วยความที่เรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น เมื่อกลับไปดูร่างซีอุยอีกครั้งจึงมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เห็นว่าเป็นร่างของมนุษย์กินคนอีก แต่นี่เป็นตัวอย่างของการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องให้ยุติการจัดแสดงร่างของซีอุย และทางโรงพยาบาลศิริราชได้ตอบรับในเวลาต่อมา
“ไม่ว่าเขากระทำความผิดจริงหรือไม่แต่เขาได้รับการลงโทษประหารชีวิตแล้ว การจัดแสดงร่างของเขาไม่ได้ให้อะไรแก่คนที่มาดูเลย คำพิพากษาในคดีฆาตกรรมเด็กคนสุดท้ายไม่มีส่วนไหนระบุว่าซีอุยเอาเครื่องในเด็กไปกิน เมื่อมีการนำร่างซีอุยไปศึกษามีประเด็นว่าซีอุยเป็นคนวิกลจริต หากเขาผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรมเขาอาจไม่โดนลงโทษประหารชีวิตก็ได้ เพราะเขาป่วย” ฟาโรห์ กล่าว
ข้อบกพร่องต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมนำไปสู่การตั้งคำถามถึงการสนับสนุนการใช้โทษประหารชีวิต ฟาโรห์ มองว่า “สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ แต่พอเกิดคดีต่างๆ ขึ้น ผู้คนกลับสนับสนุนให้แก้แค้นด้วยการฆ่า” แม้จะมีงานวิจัยว่าการประหารชีวิตไม่มีผลต่อการยับยั้งอาชญากรรมก็ตาม แต่คนก็ยังคิดว่าการประหารเป็นการยับยั้งไม่ให้ผู้กระทำไปฆ่าต่อได้ ทั้งนี้ การเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียสำคัญมากพอกับการคืนความยุติธรรม แต่สังคมมองเฉพาะแค่การเอาคืน ไม่ได้คิดว่าครอบครัวผู้สูญเสียจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
รวมถึงครอบครัวนักโทษประหารที่ต้องถูกตีตราไปด้วยทั้งที่ไม่ได้ร่วมกระทำผิด อีกทั้ง“ความเสี่ยงที่สุดของโทษประหารคือการประหารผิดคน” และเราไม่อาจหยุดยั้งอาชญากรรมได้ด้วยการฆ่าคนเพิ่มอีกหนึ่งคน “ความยุติธรรมจริงๆ คือการนำคนกระทำผิดมาลงโทษอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพและผ่านกระบวนการยุติธรรม” เราจับจ้องแต่การนำคนไปประหาร โดยไม่ได้คิดว่าได้สร้างความเจ็บช้ำทางจิตใจให้สองครอบครัว
อีกกรณีหนึ่งคือ “ธีรศักดิ์ (มิก) หลงจิ” ถูกลงโทษประหารชีวิตในปี 2561 ซึ่ง จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความผู้ทำคดีนี้ในนามของสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน หลังจากที่มีการประหารชีวิตไปแล้ว เล่าว่า จากการพูดคุยกับครอบครัวมิกและครอบครัวผู้เสียหายในคดีเดียวกัน ทั้งสองครอบครัวยังติดใจ “ในคดีมีการระบุผู้กระทำผิดสองคน แต่ปัจจุบันยังจับอีกคนหนึ่งไม่ได้ ทั้งที่มิกถูกประหารไปแล้ว”ทั้งที่จากการอ่านสำนวนคดีพบว่ามีพยานหลักฐานที่จะทำให้ติดตามบุคคลดังกล่าวได้
โดยจากการลงพื้นที่ พบข้อสังเกต 1.พฤติการณ์ในการก่อเหตุ คือใช้มีดฟันและแทงผู้ตายหลายสิบแผล ตำรวจสรุปสำนวนสั่งฟ้องว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่แฟนผู้ตายให้การว่าเห็นคนร้ายสองคนทำร้ายผู้ตายเพื่อเอามือถือและเงิน เมื่อให้ไปแล้วก็ยังทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีด ถ้าประสงค์ทรัพย์เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็น่าจะไป แต่ลักษณะที่เกิดขึ้นคือมีความโกรธแค้นบางอย่าง ซึ่งครอบครัวผู้ตายบอกว่าน่าจะเป็นเรื่องชู้สาว แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกตั้งเป็นประเด็นสืบสวนสอบสวนของตำรวจ
หากไม่มีการประหารนายธีรศักดิ์ (มิก) หลงจิ ในปี 2561 จะเหลืออีกเพียงปีเดียวที่ไทยจะได้รับการจัดอันดับจากองค์กรระหว่างประเทศ ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีโทษประหารในกฎหมายแต่ไม่มีการใช้จริงในทางปฏิบัติ ซึ่งประเทศที่จะอยู่ในกลุ่มนี้ต้องงดใช้โทษประหารติดต่อกันอย่างน้อย 10 ปี โดยการประหารชีวิตก่อนหน้ากรณีของนายธีรศักดิ์ เกิดขึ้นในปี 2552
2.ช่วงเวลาเกิดเหตุ เป็นเวลาเลิกเรียนที่มีคนพลุกพล่าน และทางเข้าออกสวนสาธารณะที่เกิดเหตุน่าจะมีกล้องวงจรปิด แต่ไม่มีการรวบรวมหลักฐานกล้องวงจรปิดส่งไปที่ศาล ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอจะลงโทษจำเลย แต่ใช้คำบอกเล่าของประจักษ์พยานคือแฟนผู้ตายในที่เกิดเหตุและคดีนี้มีการสอบพยานปากเดียว ทั้งที่พ่อแม่ผู้ตายทราบจากคนในชุมชนว่ามีคนอื่นๆ อยู่ในเหตุการณ์ เช่น แม่ค้าขายลูกชิ้น
“ตามปกติการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ อันดับแรกคือข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลยว่าวันนั้นเขาอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ ถ้ามีการตั้งประเด็นว่าเป็นปัญหาชู้สาว ต้องตรวจข้อมูลโทรศัพท์ของแฟนผู้ตายว่ามีความผิดปกติใดที่จะเชื่อมโยงไปถึงปัญหาชู้สาวหรือไม่ แต่พอตั้งประเด็นเป็นชิงทรัพย์จึงไม่มีหลักฐานดังกล่าว ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลฎีกา แต่พยานหลักฐานในสำนวนคดีนอกจากคำให้การของพยานปากเดียวในที่เกิดเหตุ แทบไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะยืนยันความผิดของจำเลยในคดีได้” จันทร์จิรา ระบุ
ทนายความผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า “ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะขั้นตอนในชั้นตำรวจมีความพยายามปฏิรูปกันมานาน” กรณีที่เกิดขึ้นกับซีอุยก็เป็นตัวอย่างให้เห็นความบิดเบี้ยวของงานสอบสวน สิทธิในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายในสังคมไทยยังมีข้อจำกัดและความเหลื่อมล้ำมาก ทำให้ผู้กระทำผิดไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพได้
ที่ผ่านมามีบางกรณีที่กระทรวงยุติธรรมมารื้อฟื้นคดีแล้วพบว่าผู้ที่ถูกลงโทษไม่ใช่ผู้กระทำผิด ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก ประชาชนยังไม่เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐควรเป็นผู้จัดหาให้ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดเข้าไปสู่กระบวนการนั้น และให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดถูกตัว ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเครื่องมือกฎหมาย หรือระเบียบเพียงพอที่จะทำให้เกิดการตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรม
แต่ปัญหาอยู่ที่ทางปฏิบัติ ข้อเสนอหนึ่งที่น่าจะพอเห็นความหวังคือ “การให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ” ให้สององค์กรคานอำนาจกัน โดยอัยการจะต้องเก็บรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนตามหลักปฏิบัติ จะยกระดับความโปร่งใสขึ้น แต่หากยังไม่สามารถจัดการเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ เครื่องมือเหล่านี้ก็แทบจะไม่มีประโยชน์
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปคือ “รัฐต้องเข้ามาเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจและสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวเหยื่ออาชญากรรม” แต่ที่ผ่านมามีเงินจากกองทุนยุติธรรมซึ่งไม่เพียงพอ คนที่ตกเป็นเหยื่ออาจเป็นคนที่มีอนาคตไกลที่จะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว รัฐจึงต้องเข้ามาเยียวยา นอกจากนี้คือการเยียวยาความสูญเสียทางจิตใจของครอบครัวเหยื่อ เป็นเรื่องเชิงจิตวิทยาให้จิตใจครอบครัวผู้สูญเสียได้คลี่คลายความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียคนที่รัก
ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงการยกเลิกโทษประหารชีวิต สังคมไทยมักมีข้อคัดค้านหนึ่งเสมอคือกลัวว่าคนจะไม่เกรงกลัวกฎหมายและกล้ากระทำผิดรุนแรงขึ้น ประเด็นนี้ เนาวรัตน์เสือสอาด ตัวแทนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การคัดค้านโทษประหารไม่ได้แปลว่าอ่อนข้อหรือยกโทษให้กับผู้กระทำความผิด ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม เพียงแต่เรียกร้องการเปลี่ยนในรูปแบบและวิธีการการลงโทษผู้กระทำความผิด ไม่ได้เพิกเฉยต่อความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
“เมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้น สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนคือ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำและเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีการปล่อยคนผิดลอยนวล เพราะยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและรวดเร็วเท่าไร ยิ่งถือได้ว่าเป็นการเยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหายได้มากเท่านั้น” ตัวแทนแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย กล่าว
เนาวรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับในประเทศไทยมีฐานความผิดที่มีบทลงโทษประหารชีวิตจำนวน 55 ฐานความผิด รวมทั้งความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แต่ในจำนวนนี้มีความผิดหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุด ซึ่งทัศนคติและความเชื่อดั้งเดิมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เห็นได้จากเมื่อ 43 ปีที่แล้วมีเพียง 16 ประเทศ ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต
แต่จนถึงทุกวันนี้ มี 106 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกโทษประหารสำหรับความผิดทุกประเภท และ 142 ประเทศหรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในโลกเห็นว่าโทษประหารไม่ใช่คำตอบในการแก้ไขอาชญากรรมแต่อย่างใด!!!
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
(ประเทศไทย)
สำหรับนิทรรศการภาพถ่าย “Lives Matters” นำเสนอเรื่องราวจากแดนประหาร โดยโทชิ คาซามะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อใช้ภาพถ่ายในการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต จะเปิดให้ชมทุกวันจนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2563 ระหว่างเวลา 09.00-19.00 น. ที่ร้านหนังสือ (๒๕๒๑) จ.ภูเก็ต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี