เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ชาวบ้านในนามกลุ่มฮักน้ำเลยกว่า 150 คนและพระสงฆ์ เดินทางด้วยรถอีแต๊ก พร้อมด้วยป้ายผ้าเขียนข้อความต่างๆ ไปยังบริเวณหัวงานของโครงการก่อสร้างเขื่อนศรีสองรัก บ้านห้วยหินสอ ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย เพื่อเรียกร้องให้กรมชลประทานทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ก่อนที่จะเดินหน้าโครงการเขื่อนศรีสองรัก
นางมุด อุ่นทุม ตัวแทนกลุ่มฮักน้ำเลยกล่าวว่า โครงการเขื่อนศรีสองรักถูกผลักดันซึ่งกรมชลประทาน มาตั้งแต่ปี 2556 ได้ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลามากกว่า 7 ปีแล้ว โดยกรมชลประทาน อ้างเหตุผลในการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ต่อมาปี 2559 ในยุครัฐบาลคสช. ได้อนุมัติโครงการโดยใช้มูลค่างบประมาณลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องการทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งที่มีชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานริมฝั่งแม่น้ำเลยจำนวนกว่า 70 ชุมชนอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเขื่อนศรีสองรัก
นางมุด กล่าวว่า การทำกิจกรรมวันนี้เพราะอยากย้ำจุดยืนเรื่องการคัดค้านโครงการเขื่อนศรีสองรัก เนื่องจากความกังวลใจโดยเฉพาะเรื่อง น้ำท่วม เพราะที่ผ่านมาชุมชนลุ่มน้ำเลยจะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงทันที หากเขื่อนเริ่มกักเก็บน้ำ ที่ผ่านมาชุมชนลุ่มน้ำเลยเคยมีประสบการณ์เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่มาแล้วในอดีต เมื่อปี 2521 กับ ปี 2545 นอกจากนี้ การศึกษาการวางโครงการฯ มีความผิดพลาดของกรมชลประทาน ไม่สอดคล้องกับภูมินิเวศของพื้นที่ลุ่มน้ำเลย และยังละเลยการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการฯ ที่มีมูลค่าโครงการมากถึง 5,000 ล้านบาท รวมทั้งการปิดบังอำพรางข้อมูล “โครงการเขื่อนศรีสองรัก” และ “โครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล” ที่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่กรมชลประทานมักอ้างเสมอว่า โครงการทั้ง 2 ไม่เกี่ยวข้องกัน และไม่สร้างความกระจ่างชัดด้านข้อมูลให้กับประชาชนในพื้นที่ จนเกิดความคลุมเครือ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเหตุผลสำคัญในการคัดค้านโครงการฯ ของ กลุ่มฮักแม่น้ำเลย ล่าสุดโครงการดังกล่าวยังมีแผนที่จะทำคันไดร์กั้นน้ำความยาวกว่า 21 กม.จากหัวงานเขื่อนตลอดลำน้ำเลย ซึ่งชาวบ้านมีความกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิมเรื่องการสูญเสียที่ดินและน้ำท่วมนอกคันไดร์ดังกล่าว
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 สถานการณ์การความขัดแย้งกรณีเขื่อนศรีสองรัก ได้นำไปสู่เวทีการพุดคุยเพื่อหาทางออกปัญหาร่วมกันระหว่าง กรมชลประทาน กับกลุ่มฮักแม่น้ำเลย โดยมีส่วนราชการจังหวัดเลย เป็นพยาน ณ ศาลากลางจังหวัดเลย ในการประชุมวันนั้นมีข้อสรุปว่า ขอให้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 58 ต่อโครงการเขื่อนศรีสองรัก โดยตัวแทนกรมชลประทาน ลงนามรับรองร่วมกับชาวบ้านว่า จะเป็นผู้ดำเนินการเสนอ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้มีการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนศรีสองรัก ตามกฎหมายดังกล่าว
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 มีการจัดเวทีสาธารณะ “ปัญหาความขัดแย้งของโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก” ระหว่างกลุ่มฮักน้ำเลย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรมชลประทาน เพื่อให้แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาระหว่างชาวบ้านและกรมชลประทานต่อโครงการดังกล่าว โดยยืนยันให้มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการดังกล่าว ก่อนจะเดินหน้าโครงการ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านกลุ่มฮักน้ำเลยเห็นว่า กรมชลประทานกลับใช้กลวิธีในการเตะถ่วงปัญหา ไม่ปฏิบัติการข้อตกลง และข้อเสนอของชาวบ้านในการตั้งคณะกรรมการฯ อีกทั้งบิดเบือนเจตนารมณ์การตั้งคณะกรรมการฯ โดยหันไปตั้งกรรมการในระดับจังหวัดแทน ซึ่งเคยแต่งตั้งมาก่อนและขาดประสิทธิภาพในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
“พวกเรากลุ่มฮักแม่น้ำเลยจึงขอประณามกรมชลประทาน ที่ผิดคำสัญญาในการลงนามตามบันทึกข้อตกลงในการตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนศรีสองรัก และขอเรียกร้องให้ กรมชลประทาน ดำเนินการติดตาม และประสานงานไปยัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการแต่งตั้ง คณะกรรมการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนศรีสองรัก ตามข้อตกลงที่มีร่วมกัน”นางมุด กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี