การเกษตรในปัจจุบันถูกจัดให้เป็นกิจกรรมหนึ่งของภาคเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่มุ่งยกระดับเพื่อสร้างให้เกิดรายได้เป็นตัวเงิน เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น เมื่อมองว่าภาคการเกษตรเป็นส่วนหนึ่งของภาคการพัฒนาเศรษฐกิจก็ย่อมพิจารณาตัวแปรต่างๆที่จะมีผลต่อความคุ้มค่าในการลงทุน การใช้โอกาสและการสูญเสียโอกาสในการลงทุน หรือแม้แต่การนำเอาแรงงานภาคการเกษตรไปเปรียบเทียบกับการคำนวณผลตอบแทนกับสาขาอื่นๆ ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องไปกับภาคเศรษฐกิจของประเทศ
ผมมีโอกาสอ่านแผนปฏิรูปประเทศฉบับปรับปรุงที่กำลังจะนำมาใช้ในช่วงหลังสถานการณ์โควิค- 19 ซึ่งการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจที่รวมภาคการเกษตรไว้เป็นส่วนหนึ่งด้วย โดยมีจุดเน้นให้เกิดการผลิตภาคการเกษตรในลักษณะเกษตรมูลค่าสูง โดยแผนปฏิรูปฉบับดังกล่าวมีการพิจารณาลงในรายละเอียด เพื่อนำมาวิเคราะห์และกำหนดทิศทางไปสู่การกำหนดแนวทางการปฏิรูป โดยวิเคราะห์ว่าภาคการเกษตรมีการใช้แรงงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความสามารถในการให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของแรงงานภาคการเกษตร เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของแรงงานจากภาคการเกษตรอื่นๆ พบว่า ภาคการเกษตรให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำสุดเมื่อคิดออกมาเป็นตัวเงินที่ได้จากจำนวนแรงงานที่ใช้ โดยมองว่าภาคการเกษตรใช้แรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจาะจงไปที่การลงทุนด้านแรงงานเปรียบเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ ประกอบกับประเด็นการใช้พื้นที่ทำการเกษตรของประเทศไทยที่ต้องใช้พื้นที่ราว 149 ล้านไร่โดยมากกว่า 68 ล้านไร่ นำไปปลูกข้าว ซึ่งเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนต่อพื้นที่ต่ำมาก ขณะเดียวกัน ก็ต้องใช้การลงทุนปัจจัยการผลิตที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยต้นทุนด้านแรงงาน แล้วเสนอว่าประเทศไทยควรเปลี่ยนการทำการเกษตรจากการทำการเกษตรที่มูลลค่าผลตอบแทนต่ำไปยังพืชหรือกิจกรรมทางการเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่อหน่วยพื้นที่ที่สูงขึ้น ซึ่งมีการยกตัวอย่างพืชในกลุ่มที่เป็น cash crop ที่ควรจะนำมาใช้ทดแทนและให้มูลค่าสูง เช่น กระเจี๊ยบเขียว ข้าวโพดฝักอ่อน และหน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ เพราะการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ การปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่กระทบกับคนส่วนใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวคิดในการวิเคราะห์ดังกล่าวหากอยู่บนสมมุติฐานที่ไม่ครอบคลุม ไม่ถูกต้องย่อมกำหนดทิศทางไปในทางที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน และจะกระทบต่อทุกภาคส่วนและประเทศชาติโดยรวม รวมถึงกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทางด้านความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งถือเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญ หากชุมชนมีความมั่นคงทางอาหารสูง นั่นแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบและความสามารถในการรองรับผลกระทบหากเกิดภภาวะวิกฤติ และหากประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความมั่นคงทางอาหารที่เข้มแข็ง หากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ก็จะสามารถรองรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ และสามารถฟื้นตัวได้ง่ายเมื่อวิกฤตินั้นผ่านพ้น
หากประเทศไทยเลิกปลูกข้าว ด้วยเหตุผลของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่อาจได้รับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ ในภาคเศรษฐกิจแล้ว นึกไม่ออกว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะคนไทยยังคงต้องรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก ถือเป็นความมั่นคงทางอาหารของครอบครัวคนไทย ชุมชน และประเทศชาติโดยรวม แต่หากจะทำให้เกิดความมั่นคงให้อาชีพทางการเกษตรที่จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และความมั่นคงด้านอื่นๆ ต้องมองภาคการเกษตรโดยมิติองค์รวม มิใช่มองผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างเดียว เช่นการที่นำเอาผลตอบแทนแรงงานมาเปรียบเทียบเท่านั้น ซึ่งย่อมทำให้หลงทิศทาง และกระทบต่อแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินงานตามมาด้วย
ประสบการณ์ในการเดินทางไปหลายพื้นที่ทั้งพื้นที่สูงและพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศ สิ่งที่ผมเข้าใจและเรียนรู้คือ เกษตรกรหรือประชาชนในพื้นที่นั้นทุกครัวเรือนโดยเฉพาะชุมชนในชนบท ให้ความสำคัญกับการทำนาและมีข้าวไว้รับประทาน แม้แต่ชาวเขาในพื้นที่สูงขอให้มีพื้นที่สำหรับปลูกข้าวไว้ให้พอรับประทานในครัวเรือน ที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย ส่วนรายได้ที่นำมาใช้จ่ายในครัวเรือนจะได้มาจากการรับจ้างหรือรายได้อื่นๆ นอกภาคการเกษตร นั่นคือ ให้ครอบครัวมีความมั่นคงทางอาหาร จากนั้นเป็นการหาเพิ่มเติมตามความจำเป็นในการดำรงชีพหรือเหตุจูงใจอื่นๆ ดังนั้น ภาคการเกษตรจึงเป็นภาคความมั่นคงทางอาหารของครอบครัวซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงกันของประชาชนและเกษตรกรในเกือบจะทั่วทุกพื้นที่ของไทย
ดังนั้น หากจะปฏิรูปการเกษตร ควรพิจารณาในทุกมิติว่าภาคการเกษตรนั้น ทำหน้าที่ส่วนใดของการพัฒนาประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อวิถีชีวิตอย่างไร เพราะถ้าคิดแล้วมองมุมเดียวโดยจัดวางผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแล้วเอาเฉพาะประเด็นผลตอบแทนแรงงานเพียงอย่างเดียวมาเปรียบเทียบ ย่อมห่างจากความเป็นจริง สุดท้ายผลที่หวังจากการปฏิรูปประเทศในด้านนี้จะไมเกิดขึ้นจริง เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี