เมื่อเร็วๆ นี้ พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยงานวิจัยเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าชิ้นใหม่โดยคณะวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโกสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบผลของไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้าประเภท Pod ชนิดที่บรรจุน้ำยาพร้อมใช้หมดแล้วทิ้ง ที่กำลังนิยมในกลุ่มวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าแบบ Tank ที่ใช้วิธีเติมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และควันของบุหรี่แบบธรรมดา ต่อการทำงานของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดแดงของหนูทดลอง
พบว่า เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดแดงของหนูทดลองที่ได้รับไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งสองแบบ และควันจากบุหรี่ธรรมดาถูกทำลายในระดับพอๆ กันที่34%-58% ขณะที่ระดับนิโคตินในเลือดของหนูที่ได้รับไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้าแบบ Pod สูงกว่าบุหรี่ประเภทอื่นๆ ประมาณ 5-8 เท่า ขณะที่ระดับนิโคตินในเลือดที่สูงมากของหนูที่ได้รับไอระเหยบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่บรรจุน้ำยาพร้อมใช้ ตามหลักวิชาการแล้วจะทำให้เกิดการเสพติดง่ายและเลิกยาก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเลิกสูบไม่ได้ จึงอยากจะเตือนวัยรุ่นว่าไม่ควรทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเกิดการเสพติดขึ้น
พญ.เริงฤดี กล่าวต่อไปว่าคำกล่าวที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีการเผาไหม้ ทำให้มีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา และเป็นทางเลือกสำหรับการช่วยเลิกสูบบุหรี่ หรือที่บางคนบอกว่าคนสูบบุหรี่ต้องการสูบนิโคตินแต่ต้องเสียชีวิตด้วยทาร์ ดังนั้นบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีทาร์จึงปลอดภัยกว่า เป็นเพียงคำโฆษณากล่าวอ้างของบริษัทที่ต้องการขายบุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้นข้อเท็จจริงแล้ว แม้บุหรี่ไฟฟ้าจะมีสารพิษบางตัวต่ำกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่สารพิษที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าหลายตัวเป็นสารก่อมะเร็งมีสารประเภทโลหะหนัก และอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด การที่มีสารพิษน้อยกว่า จึงไม่ได้แปลว่าอันตรายน้อยกว่า หรือปลอดภัยกว่า
“การที่มีเครือข่ายสนับสนุนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและนักการเมืองบางคนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า โดยมักจะกล่าวว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่
ธรรมดานั้น เป็นคำกล่าวที่ไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่มีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ที่พบว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อร่างกายโดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ ไม่แตกต่างจากบุหรี่ธรรมดา” พญ.เริงฤดี กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับผู้สนใจงานวิจัยดังกล่าว สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ดังนี้ 1.Rao et al (2020). JUUL and Combusted Cigarettes Comparably Impair Endothelial Function. เว็บไซต์ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31930162/ กับ 2.Keith & Bhatnagar (2021). Cardiorespiratory and Immunologic Effects of Electronic Cigarettes. เว็บไซต์ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33717828/
ขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า แม้ฝ่ายที่พยายามจะผลักดันให้เลิกห้ามบุหรี่ไฟฟ้าอ้างว่าเพื่อผู้ที่สูบบุหรี่อยู่แล้วจะได้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือใช้บุหรี่ไฟฟ้าในการเลิกสูบบุหรี่ธรรมดา แต่นโยบายการห้ามมิให้นำเข้าหรือจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านั้น มีขึ้นเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้เข้ามาเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า
และปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งยังไม่มีการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่ธรรมดาในการใช้ตามปกติ นอกจากนี้หากผู้ประสงค์จะเลิกบุหรี่ซิกาแรต แม้ไม่สามารถหาบุหรี่ไฟฟ้ามาทดแทนตามที่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวอ้าง แต่สามารถเข้ารับการรักษาเพื่อเลิกบุหรี่จากมาตรการที่รัฐจัดให้ได้ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้การห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เป็นทางเลือกหนึ่งในการควบคุมผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า
“ประเทศไทยเป็น 1 ใน 40 ประเทศทั่วโลกที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในขณะนี้ ซึ่งประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า คำนึงถึงผลกระทบต่อทั้งผู้ที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว และโดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่ไม่สูบบุหรี่ด้วย ซึ่งเมื่อชั่งน้ำหนักภาพรวมแล้ว ผลเสียของบุหรี่ไฟฟ้ามีมากกว่าผลดี” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ด้าน รศ.ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตามที่มีฝ่ายที่สนับสนุนการใช้บุหรี่ ได้ออกข่าวมาอย่างต่อเนื่องว่า การที่รัฐบาลไทยห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในการที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ได้มีการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยนั้น ขอชี้แจงว่า สิทธิของผู้บริโภคมีขึ้นเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยมีเป้าหมายคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคเป็นหลัก
เช่น รับรองการรวมตัวจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค โดยรัฐให้การสนับสนุนทางงบประมาณ เสรีภาพในการประกอบอาชีพ แม้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการได้รับการรับรองภายใต้ระบบตลาดแข่งขันเสรี แต่รัฐสามารถจำกัดหรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เสรีภาพของผู้ประกอบการได้ หากเป็นไปเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคหรือเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพ
“สิทธิของผู้บริโภคและเสรีภาพในการประกอบอาชีพไม่ใช่สิทธิและเสรีภาพโดยเด็ดขาด ที่ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการจะสามารถทำอะไรก็ได้อย่างไม่มีขอบเขต รัฐยังคงมีหน้าที่วางเงื่อนไขและกำหนดกรอบการใช้สิทธิของผู้บริโภคและเสรีภาพในการประกอบอาชีพเพื่อให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนสมดุลกับประโยชน์สาธารณะ โดยรัฐต้องไม่เลือกปฏิบัติและมาตรการต้องได้สัดส่วน” รศ.ดร.เอื้ออารีย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี