ดีเดย์6โมงเช้าพรุ่งนี้ ‘ล็อกดาวน์’เริ่มตั้งด่านสแกนคนเข้าพื้นที่ 10 จว.สีแดง ศบค.ย้ำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค.เป็นประธาน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด ทั้งสถานการณ์โลกและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสถานการณ์ในประเทศยังมีความน่าห่วงกังวลมาจากแนวโน้มของผู้จำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องใช้ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่มีความรุนแรงและแพร่ระบาดได้ง่าย และการเดินทางกลับภูมิลำเนาของกลุ่มแรงงานจากพื้นที่ กทม. ทำให้เชื้อกระจายไปยังหลายจังหวัดทั่วประเทศ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เช็คที่นี่!มาตรการยกระดับคุมโควิด‘ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว’ เปิดปิดสถานที่ตาม‘โซนสีใหม่’)
ที่ประชุม ศบค.จึงมีมติขยายระยะเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 30 ก.ย. โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 ก.ค. โดยมาตรการที่ออกมาในครั้งนี้อยู่ภายใต้หลักคิดจำกัดการเคลื่อนย้าย การรวมกลุ่มของบุคคลเฉพาะพื้นที่ที่หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่าล็อกดาวน์ กำหนดเวลาการออกนอกเคหะสถาน หรือเคอร์ฟิว ควบคู่ไปกับมาตรการเร่งรัดด้านการป้องกันโรค การฉีดวัคซีน การควบคุมโรค การรักษาพยาบาล รวมทั้งการเยียวยาให้เร็วที่สุด
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังเห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยทั่วประเทศ โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม ยังเป็น 10 จังหวัด คือ กทม. นครปฐม นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ปัตตานี ยะลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสงขลา
พื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ สีแดง 24 จังหวัด คือ กระบี่ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตาก นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง และอุทัยธานี
พื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม 25 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยภูมิ ชุมพร ตรัง ตราด บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี
พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด หรือ สีเหลือง 18 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ลำปาง ลำพูน สกลนคร หนองคาย อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สำหรับมาตรการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในพื้นที่ 6 จังหวัด ที่ประกอบด้วย กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ได้แก่ จำกัดการเคลื่อนย้ายและดำเนินกิจกรรมให้ได้มากที่สุด, กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนปฏิบัติงานในลักษณะเวิร์ก ฟอร์ม โฮมให้ได้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชน, ให้ระบบขนส่งสาธารณะหยุดบริการตั้งแต่ 21.00 – 04.00 น., ให้ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่งปิดตั้งแต่เวลา 20.00 น. – 04.00 น., ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลเปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม ธนาคาร ร้านขายยา ร้านเครื่องมือสื่อสาร สถานที่ฉีดวัคซีน โดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น., ห้ามบริโภคอาหารและสุราภายในร้านอาหาร โดยให้เปิดถึงเวลา 20.00 น., ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ สปา สถานเสริมความงาม, สวนสาธารณะให้เปิดบริการได้ถึงเวลา 20.00 น., ห้ามรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางสังคมที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ การประกอบอาชีพ กิจกรรมทางศาสนา หรือกิจกรรมตามประเพณีที่มีการรวมตัวกันเกิน 5 คนขึ้นไป
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 10 จังหวัด จะห้ามการเดินทางที่ไม่จำเป็น, ห้ามออกนอกเคหสถาน ในเวลา 21.00 – 04.00 น. ยกเว้นกรณีเจ็บป่วยต้องไปรักษาพยาบาล กรณีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ขึ้นเวร หรือไปซ่อมแซมการไฟฟ้า ประปาที่ขัดข้อง,การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ให้ยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ มาตรการที่กล่าวมาให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. แต่อย่างไรก็ตาม ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. เวลา 06.00 น. หากตรวจพบผู้ฝ่าฝืนให้บังคับใช้บทลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล สาธารณสุขจะปรับแผนการกระจายวัคซีน โดยให้เร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงที่เกิดอายุเกิน 60 ปี รวมทั้งกลุ่มผู้มีมีโรคประจำตัว 7กลุ่มโรคในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะฉีดให้ได้ 1 ล้านโดส ภายในสองสัปดาห์ และเห็นชอบในการจัดสรรวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศทั้งไฟเซอร์และแอสตราเซเนกาที่ได้รับบริจาคจากญี่ปุ่นมาถึงภายในวันนี้ ( 9 ก.ค.) แล้ว โดยหลักการจัดสรรมุ่งเน้นไปที่ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีและ 7 กลุ่มโรค รวมทั้งชาวต่างชาติที่มีอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและผู้จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต โดยเน้นย้ำในที่ประชุมที่มีข้อสรุปว่าให้มีการจ่ายวัคซีนไฟเซอร์เป็นบูสเตอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้เร็วที่สุดด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเพิ่มความสามารถรักษาพยาบาลให้เพียงพอและมีประสิทธิภาพและมีการพูดถึงไอซีสนาม โรงพยาบาลสนามการแยกกักในชุมชน (คอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น ) หรือศูนย์พักคอยรอการส่งต่อรวมทั้งการแยกกักที่บ้าน (โฮม ไอโซเลชั่น ) และการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในระหว่างแยกกัก
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ส่วนการปฏิบัติในจังหวัดอื่น ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร่วมกันรับผิดชอบกำหนดมาตรการคัดกรอง และมาตรการสำหรับบุคลที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทั้งนี้ ให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.เวลา 06.00 น. และให้นำมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ระดับสถานการณ์ต่างๆ ข้อห้ามและข้อปฏิบัติตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 24, 25, 26) ที่มีก่อนหน้านี้มาบังคับเท่าที่ไม่ขัดแย้งกับข้อกำหนดนี้
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า มาตรการทั้งหมดขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการควบคุมเพื่อกำหนดการเดินทางข้ามจังหวัด การจำกัดการเดินทางนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. รายละเอียดจะลงไว้ในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ขอบคุณประชาชนที่เข้าใจและให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ มาโดยตลอด ขออภัยกับการติดขัดที่อาจทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดลำบาก แต่ทั้งนี้เพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และประเทศไทยต้องชนะไปด้วยกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี