ล็อกดาวน์10จังหวัด
14วัน/เคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้าน3ทุ่ม-ตี4
กทม.-ปริมณฑล-4จว.ใต้/เริ่ม12ก.ค.
ร้านสะดวกซื้อ-โต้รุ่งเปิดถึง2ทุ่ม
ขนส่งสาธารณะปิด3ทุ่ม-ตี3
ไทยติดเชื้อพุ่ง9,276ตาย72
ศบค.ใช้ยาแรงเคาะมาตรการ “ล็อกดาวน์”14 วัน มีผล 12 กรกฎาคม โดย 10 จังหวัดสีแดงเข้ม เคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้าน 3 ทุ่มถึงตี 4-จำกัดการเคลื่อนย้ายเดินทาง-ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด ยกเว้นมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน-การรวมตัวห้ามเกิน 5 คน-ให้เรียนออนไลน์เท่านั้น-ร้านสะดวกซื้อ-ตลาดโต้รุ่ง เปิดได้ถึง 2 ทุ่ม-ห้างฯเปิดได้แค่ซูเปอร์ฯ แผนกยา-ปิดนวดสปา–ร้านเสริมสวย ขนส่งสาธารณะเปิดถึง3ทุ่ม สั่งตั้งด่านมั่นคงตรวจคัดกรองคุมเข้มเริ่ม 6 โมงเช้า 10 ก.ค. ขณะที่ สธ.ต่อสัญญารพ.บุษราคัมถึงตุลาคม ขยายรพ.สนามที่สุวรรณภูมิรับได้ 5 พันเตียง ลุยค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก คนรอเตียงเอามาเข้าระบบรักษา ตั้งศูนย์พักคอยทั่วกรุง ลดติดเชื้อในชุมชน ด้านยอดติดโควิดไทยวิกฤติทำนิวไฮ 9,276 คน ตาย 72 ศพ อาการหนัก 2,685 ราย ใส่ท่อหายใจ 701 คน
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 9/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการล็อกดาวน์ 14 วัน ในพื้นที่เสี่ยงสูง รวมถึงต้องลด และจำกัดการเดินทาง เพื่อลดการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
ศบค.ขยายพรก.ฉุกเฉินถึง30กย.
หลังประชุม พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงผลการหารือที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ว่า ในการประชุมมีรายงานยกระดับการป้องกันโควิด-19 และปรับระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตของประเทศไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักก็เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องพิจารณา โดยที่ประชุมขอขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขต ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม- 30 กันยายน 2564 และจะนำเสนอครม.วันที่ 13 กรกฎหาคม เพื่อประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมโรคติดต่อ และบูรณาการความรับผดชอบและอำนาจหน้าที่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อลดอัตราเสียชีวิตและจำนวนคนติดเชื้อ
ประกาศล็อคดาวน์-เคอร์ฟิวมีผล12กค.
พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องยกระดับมาตรการป้องกันโควิด 19 ทั่วราชอาณาจักร หลักคิดสำคัญ คือ มีการจำกัดการเคลื่อนย้าย และการรวมกลุ่มของบุคคลเฉพาะพื้นที่ที่เข้าใจกันว่า “ล็อกดาวน์” การจำกัดเวลาการออกนอกเคหสถานที่เรียกกันว่า “เคอร์ฟิว” โดยการยกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร มีทั้งปรับระดับสีพื้นที่ และมาตรการย่อยตามพื้นที่ต่างๆ เริ่มมีผลวันที่ 12 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ปรับพื้นที่ระบาดใหม่ทั่วปท.4ระดับ
สำหรับการยกระดับพื้นที่สถานการณ์ในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร เริ่มใช้ 12 กรกฎาคมนั้น ประกอบด้วย 1.การปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด (คงเดิม) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ปัตตานี ยะลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา 2.พื้นที่ควบคุมสูงสุด 24 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 19 จังหวัด) ได้แก่ กระบี่ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตาก นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง อุทัยธานี
3.พื้นที่ควบคุม 25 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 16 จังหวัด) ได้แก่ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยภูมิ ชุมพร ตรัง ตราด บุรีรัมย์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สตูล สระแก้ว สุโขทัย สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และ4.พื้นที่เฝ้าระวังสูง 18 จังหวัด (ลดลง 39 จังหวัด) ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ลำปาง ลำพูน สกลนคร หนองคาย อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์
งดเดินทาง-ทำงานที่บ้าน-ขนส่งปิด3ทุ่ม
พญ.อภิสมัยกล่าวอีกว่า ที่ประชุม ศบค.ยังมีมติกำหนดมาตรการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ประกอบด้วย มาตรการที่ 1.จำกัดการเคลื่อนย้ายและการรวมกลุ่มบุคคลให้มากที่สุด โดยกำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนใช้การปฏิบัติงานในลักษณะเวิร์คฟรอมโฮมให้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ และการบริการประชาชน เฉพาะใน 6 จังหวัดคือ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ระบบขนส่งสาธารณะปิดให้บริการถึงเวลา 21.00 – 03.00 น.ของวันรุ่งขึ้น
สะดวกซื้อ-โต้รุ่งปิด2ทุ่ม/ห้างเปิดแค่ซุปเปอร์
ส่วนร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิดเวลา 20.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงสถานที่ฉีดวัคซีนเปิดถึงเวลา 20.00 น. ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามบริโภคอาหารหรือสุราหรือเครื่องดื่มในร้านเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.
ปิดนวดสปา-ห้ามรวมตัวเกิน5คน
นอกจากนี้ ยังสั่งปิดสถานที่เสี่ยงติดโรค ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ สปา สถานเสริมความงาม สวนสาธารณะเปิดให้บริการสำหรับการออกกำลังกายได้ถึงเวลา 20.00 น. ห้ามรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางสังคมที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ การประกอบอาชีพหรือกิจกรรมตามประเพณีรวมกันเกิน 5 คน ขณะที่สถานศึกษาใน 10 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ให้เรียนออนไลน์เท่านั้น
เคอร์ฟิว3ทุ่มถึงตี4มีผล12กค.เป็นต้นไป
มาตรการที่ 2.ให้บุคคลงดเดินทางที่ไม่จำเป็น และห้ามออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นยิ่ง หรือได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี ในส่วนนี้คือ ห้ามใน 10 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มาตรการที่ 3.การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดของศบค.ที่ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ มาตรการที่ 4.กำกับดูแลให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล (DMHTTA) อย่างสูงสุด มาตรการที่ 5. ให้เริ่มดำเนินการตามข้อ 1-4 ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคมเป็นต้นไป
ตั้งด่านมั่นคงตรวจเข้มงวดเริ่ม10กค.
และมาตรการที่ 6.ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดลาดตระเวน เพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2564 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้กรณีฝ่าฝืนให้บังคับใช้บทลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
สั่งเปิดจุดตรวจเชื้อ-เร่งฉีดวัคซีนล้านโดส
พญ.อภิสมัยยังแถลงถึงมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑลว่า ที่ประชุมพิจารณามาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเพิ่มโอกาสเข้าถึงระบบตรวจหาเชื้ออย่างเพียงพอ เร่งเปิดจุดตรวจหาเชื้อให้ประชาชนเข้าถึง และแยกประชาชนติดเชื้อออกจากชุมชนให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะปรับแผนฉีดวัคซีน โดยเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้มีความเสี่ยงคือ อายุเกิน 60 ปี และกลุ่มมีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค เร่งรัดพื้นที่กทม.ปริมณฑล ซึ่งจะฉีดให้ได้ 1 ล้านโดสภายใน 1-2 สัปดาห์ รวมทั้งยังมีมาตรการเร่งรัดนำระบบการแยกกักที่บ้าน รวมทั้งการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลัก ได้แก่ยาฟ้าทะลายโจร เป็นต้น และเร่งรัดการจัดตั้งไอซียูสนาม ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมป้องกันส่วนบุคคล ตรวจหาเชื้อ และการรักษาพยาบาล ให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ให้ศบศ.เร่งรัดกำหนดมาตรการเยียวยาสถานประกอบการ หรือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนด มาตรการครั้งนี้ ตามความจำเป็นของแต่ละพื้นที่
ย้ำจว.อื่นคัดกรองเข้มคนจาก10จว.แดงเข้ม
ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ยังแถลงถึงการปฏิบัติในจังหวัดอื่นว่า กระทรวงมหาดไทย( มท. )ร่วมกับ สธ. เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันรับผิดชอบกำหนดมาตรการ คัดกรองและมาตรการติดตามสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ให้เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (10 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ทั้งนี้ ให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มให้เป็นไปตามพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดตามคำสั่ง ศบค.
เร่งฉีดไฟเซอร์บูสเตอร์โดสให้แพทย์
“ที่ประชุมยังเห็นชอบจัดสรรวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศทั้งไฟเซอร์ และแอสตร้าฯ ของญี่ปุ่น ซึ่งมาถึงแล้ว โดยหลักการจัดสรรจะให้กลุ่มสูงอายุ และ 7 กลุ่มโรค รวมทั้งชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ และโรคเรื้อรัง และผู้ที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักกีฬา นักการทูต โดยที่ประชุมมีข้อสรุปจ่ายวัคซีนไฟเซอร์ เป็นบูสเตอร์โดส ให้บุคลากรทางการแพทย์เร็วที่สุด” พญ.อภิสมัย กล่าว
ติดเชื้อใหม่นิวไฮ9,276-รักษาตัว74,895คน
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า ไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 9,276 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 8,975 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 6,324 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 2,651 ราย จากเรือนจำและที่ต้องขัง 278 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 23 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 317,506 ราย ผู้หายป่วยเพิ่ม 3,928 ราย หายป่วยสะสม 240,077 ราย อยู่ระหว่างรักษา 74,895 ราย
ตายทุบสถิติ72-โคมา2,685ราย
สำหรับผู้ป่วยอาการหนักมีจำนวน 2,685 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 701 ราย เสียชีวิตเพิ่มเติม 72 ราย เป็นชาย 40 ราย หญิง 32 ราย อยู่ ในกทม. 39 ราย นครปฐม 7 ราย ปัตตานี 6 ราย ยะลา กาญจนบุรี จังหวัดละ 3 ราย เพชรบุรี สมุทรสาคร จังหวัดละ 2 ราย เชียงราย เพชรบูรณ์ สุพรรณบุรี ร้อยเอ็ด ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก สงขลา สระแก้ว ปทุมธานี อุดรธานี จังหวัดละ 1 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 2,534 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนวันที่ 9 กรกฎาคมฉีดไปแล้ว 356,378 โดส ทำให้ยอดรวมสะสมการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์มีทั้งสิ้น 11,975,996 โดส ขณะที่สถานการณ์โลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 186,330,643 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 4,026,186 ราย
กทม.ติดเชื้อสูงสุด3,116คน
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 9 กรกฎาคม ได้แก่ กทม. 3,116 ราย สมุทรสาคร 544 ราย สมุทรปราการ 437 ราย ลพบุรี 341 ราย ชลบุรี 317 ราย พระนครศรีอยุธยา 265 ราย ฉะเชิงเทรา 243 ราย นนทบุรี 236 ราย ปัตตานี 214 และนครปฐม 211 ราย พบคลัสเตอร์ใหม่ในพื้นที่ต่างๆ ประกอบด้วย จ.สมุทรสาคร ที่โรงงานขนมขบเคี้ยว อ.กระทุ่มแบน พบผู้ติดเชื้อ 29 ราย จ.สมุทรปราการ ที่แคมป์ก่อสร้าง อ.บางพลี 35 ราย จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ชุมชน Factory land อ.วังน้อย 177 ราย จ.ฉะเชิงเทรา ที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งใน อ.พนัสนิคม 23 ราย จ.สระบุรี ที่บริษัทผลิตชิ้นส่วนโลหะ อ.หนองแค 64 ราย จ.ลำปาง ที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ อ.เมือง
ขยายรพ.บุษราคัมถึงตค.รับป่วยสีเหลือง
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งเพิ่มเตียงผู้ป่วยโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขได้ต่อสัญญาใช้สถานที่เมืองทองธานี สำหรับทำโรงพยาบาลบุษราคัมต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมแล้ว ทำให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยมีอาการ (สีเหลือง)ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ตลอดจนผู้ป่วยจากจังหวัดใกล้เคียงได้ประมาณ 4,000 เตียง โดยมีบุคลากรการแพทย์จากต่างจังหวัดหรือในพื้นที่ที่ไม่มีการติดเชื้อโควิดรุนแรงเข้ามาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลรักษาประชาชน
เร่งเปิดรพ.สนามสุวรรณภูมิรับ5พันเตียง
ขณะเดียวกัน กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ประสานเครือข่ายกู้ชีพ กู้ภัย จัดทีมปฏิบัติการเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อที่รอเตียงที่บ้านในกทม. เพื่อรับตัวเข้าสู่ระบบการรักษาตามระดับของอาการ โดยโรงพยาบาลบุษราคัมจะรองรับกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชนที่รอเตียงตามบ้าน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงคมนาคมเตรียมตั้งโรงพยาบาลสนามที่อาคาร Satellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รองรับผู้ป่วยได้ 5,000 เตียงในระยะแรก รองรับคนไข้กลุ่มสีเขียวและเหลือง คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้อีกไม่นานนี้
กทม.ร่วมเอกชนขยายICUสนาม40เตียง
ส่วนความร่วมมือภาครัฐและเอกชน กรุงเทพมหานครและรพ.ธนบุรีขยายห้องไอซียู รพ.สนามราชพิพัฒน์ 1 เขตทวีวัฒนา เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดระดับอาการสีแดงประมาณ 40 เตียง จะทยอยเปิดรับผู้ป่วยเข้ารักษาตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมเป็นต้นไป ขณะที่จ.สมุทรปราการเตรียมเปิดโรงพยาบาลสนาม ที่คลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ มีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิดประมาณ 1,200 เตียง สำหรับทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวไร้สิทธิ์
ตั้ง20ศูนย์พักคอยรอบกรุงรับได้3พันคน
ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อโรงพยาบาล ( Community Isolation ) ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต ตั้งเป้าหมาย 20 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,000 ราย ทั้งนี้ เปิดให้บริการแล้ว 2 แห่งคือ วัดสะพาน เขตคลองเตย และศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแคและเปิดเพิ่มวันนี้อีก 1 แห่งคือ วัดปากบ่อ เขตสวนหลวง ซึ่งจะมีทีมแพทย์จาก รพ. สิรินธร บริหารจัดการผู้ป่วยรองรับสูงสุดได้ 170 เตียง ส่วนที่เหลือทยอยเปิดให้ได้เร็วที่สุด และในจังหวัดอื่นเตรียมพร้อมเพิ่มโรงพยาบาลสนามเช่นกัน รองรับผู้ป่วยได้ทันเวลา
สยามไบโอฯส่งมอบแอสตร้าฯอีกล็อต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเช้าวันเดียวกัน วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าถูกนำออกจากโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ย่านศาลายา โดยรถขนวัคซีน 2 คัน มีรถตำรวจประกบหัวท้าย คาดว่าเป็นล็อตส่งมอบล่าสุด ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน แอสตร้าเซนเนก้า ส่งมอบวัคซีน 6 ล้านโดสให้ไทยครบตามกำหนด สำหรับเดือนกรกฎาคมตามแผนจะส่งมอบอีก 10 ล้านโดส แต่นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยว่าอาจส่งมอบได้ไม่ครบตามจำนวน เพราะต้องส่งมอบบางส่วนให้ประเทศอื่นด้วย โดยกำลังการผลิตช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม คาดว่าน่าจะผลิตได้ 16 ล้านโดสต่อเดือน
รพ.จุฬาภรณ์ฉีดซิโนฟาร์มให้หมอฟรี
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ค รพ.จุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความระบุว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ขอเชิญแพทย์ที่ยังไม่เคยได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด และประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นเข็มแรก สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์มกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ทาง https://bit.ly/FormForDoc โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ โปรดระบุเลขที่ใบประกอบวิชาชีพ (เลข ว.) และเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความแจ้งวัน-เวลานัดหมายเข้ามารับวัคซีน ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพ ต่อไป
สปส.เปิดศูนย์ตรวจโควิดไทย-ญี่ปุ่น12ก.ค.
อีกด้านหนึ่ง นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ โฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิดที่ระบาดระลอกใหม่ เดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา จากข้อมูล ศบค.ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-8 กรกฎาคม พบผู้ป่วยสะสม 279,309 คน พบว่าเป็นผู้ป่วยในกรุงเทพมหานคร 85,285 คน (ร้อยละ 30.53) และพบผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจากสถานการณ์ดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานเป็นห่วงผู้ใช้แรงงาน และประชาชนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงสั่งให้สำนักงานประกันสังคม บูรณาการกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดจุดตรวจคัดกรองโควิดให้ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งครั้งนี้จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปมาใช้บริการได้ด้วยที่ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมเป็นต้นไป ผ่าน https://sso.icntracking.com
ทั้งนี้ กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี