ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่เยี่ยมบ้านนักเรียน ตามโครงการ “ปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู” ว่า ตามที่ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำระบบสารสนเทศสถานศึกษาเพื่อค้นหาเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยใช้ Google Maps ปักหมุดสถานที่ (Location) ที่บ้านของนักเรียน พร้อมทั้งเพิ่มรายละเอียดข้อมูลพื้นฐาน และรูปภาพของผู้รับบริการลงในระบบ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายวาระเร่งด่วน (Quick Win) ของตน ในการเพิ่มโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาของประชากรวัยเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยในส่วนของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ได้มุ่งแก้ปัญหาให้เด็กพิการในวัยเรียนที่ไม่ได้รับการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยปักหมุดบ้านเด็กพิการทั่วประเทศ และให้ความช่วยเหลือให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิต และด้านสุขภาพ
“ วันนี้ดิฉันได้ติดตามจากการปักหมุด และมาเยี่ยม น้องหนูนา หรือ ด.ญ.ปาลิตา บุตรสัน อายุ 6 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นเด็กพิการซ้อน พบว่า มีความพิการซ้อนตั้งแต่กำเนิด และเข้ามารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดกระบี่ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา น้องหนูนาได้รับการประเมินคัดกรอง ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individual Education Program : IEP) ฟื้นฟูสมรรถภาพและทำกายภาพบำบัด จนสามารถปรับพฤติกรรมทางอารมณ์ พัฒนาการทางด้านร่างกายที่ดีขึ้น จนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงได้ปรับลดเวลามารับบริการที่ศูนย์ฯ สัปดาห์ละ 2 วัน ตามความสะดวกของผู้ปกครอง จนกระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในปีการศึกษา 2564 ทางศูนย์ฯ จึงได้ปรับการเรียน โดยครูประจำชั้นได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล พร้อมติดต่อผู้ปกครองมารับสื่อ ใบงาน ชุดกิจกรรม แบบฝึก และก่อนการสอนครูประจำชั้นจะติดต่อ สื่อสารกับผู้ปกครองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ และโทรศัพท์ แจ้งว่าจะสอนอะไรบ้าง ให้พ่อแม่เตรียมอุปกรณ์ พร้อมให้คำแนะนำผู้ปกครองในการฝึกผู้เรียนที่บ้าน ขณะเดียวกันมีครูไปเยี่ยมนักเรียนที่บ้าน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ และผลสำเร็จระหว่างการสอน รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองรายงานผลการจัดการเรียนการสอนทุกวันจันทร์ เพื่อให้คำแนะนำและติดตามผลการเรียนร่วมกันอย่างใกล้ชิด” ตรีนุช กล่าว
รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้เห็นสภาพจริงและความตั้งใจของครูและบุคลากรที่ทำงานในหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กพิการ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเกิด หรือแรกพบความพิการ จนถึง 18 ปี ในชุมชนที่อยู่ห่างไกล ผู้ปกครองมีฐานะยากจนมีความยากลำบากในการเดินทางมาส่งบุตรหลานที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ซึ่งปัจจุบัน สพฐ. ได้จัดตั้งหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษใน 76 จังหวัด จำนวน 624 หน่วยบริการ กระจายอยู่ทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้ดำเนินงานตามโครงการปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู โดยมีกลุ่มเป้าหมายให้เด็กพิการ ซึ่งรับบริการที่บ้านแล้วมากกว่า 9,500 คนทั่วประเทศ
“กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญเรื่องการเพิ่มโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัยเป็นอย่างยิ่ง โดยในส่วนของการศึกษาพิเศษ เราจะเดินหน้าค้นหาเด็กที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา เมื่อแรกพบจะส่งเสริม สนับสนุน ครูศูนย์การศึกษาพิเศษให้คำแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครอง ในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลช่วยเหลือเด็กพิการในช่วงที่อยู่ที่บ้าน สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายระหว่างกลุ่มพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน ทั้งนี้ ดิฉันได้มีนโยบายให้ สพฐ. ขยายการจัดตั้งหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษให้ครบทุกอำเภอทั่วประเทศ พร้อมทั้งประสานให้ความช่วยเหลือครอบครัวเด็กพิการ ในด้านคุณภาพชีวิตกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสาธารณสุขจังหวัด (สธจ.) เป็นต้น เพื่อให้เด็กพิการได้รับการช่วยเหลือครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิต ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นางสาวตรีนุช กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี