18 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.ภาณุพงศ์ ธรรมโชติ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ วิจัยสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงการค้นพบกบลำธารชนิดใหม่ของโลกอีก 2 ชนิด ที่เขตพะโค ทางตอนเหนือของเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ซึ่งสะท้อนความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกฝ่ายควรตระหนักและร่วมอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไป การค้นพบกบลำธารชนิดใหม่ของโลกในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทีมวิจัย 3 ประเทศ คือ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอีสต์ย่างกุ้ง (East Yangon University) ประเทศเมียนมาร์ และสถาบัน Senckenberg Forschungs institut und Naturmuseum ประเทศเยอรมนี นำโดย Prof.Dr.Gunther Köhler ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานและเทคโนโลยีจีโนมของสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
“เราใช้เวลาศึกษาวิจัยกว่า 2 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เก็บตัวอย่างกบในพื้นที่ทั้งไทยและเมียนมาร์ให้ได้ครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ จากนั้นจึงส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิจัย Senckenberg ประเทศเยอรมนี โดยนำความรู้ทางฟิสิกส์มาประยุกต์ใช้ทางชีววิทยา ทำการตรวจสอบ DNA ศึกษาโครงสร้างเสียงร้องของกบ รวมทั้งศึกษาจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของกบ จนพบกบชนิดใหม่ของโลกถึง 2 ชนิด” ดร.ภาณุพงศ์ กล่าว
ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวต่อว่า กระบวนการวิจัยในโครงการสำรวจความหลากหลายของกบในตระกูลกบลำธารในเมียนมาร์ และเขตเทือกเขาทางตะวันตกและภาคใต้ของประเทศไทย ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 การศึกษาและค้นพบกบลำธารทั้ง 2 ชนิดได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Diversity ซึ่งเป็นวารสารวิชาการระดับนานาชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวถึงลักษณะทั่วไปของกบลำธาร ว่า กบลำธารอาศัยอยู่ในลำธารในป่าเขตร้อน อย่างในป่าภาคตะวันตกและภาคใต้ของไทย มีขนาดตัว 3-5 เซนติเมตร ลำตัวสีน้ำตาลคล้ายใบไม้เพื่อการพรางตัว กบชนิดนี้จะส่งเสียงร้องเฉพาะเวลากลางคืนเพื่อการผสมพันธุ์ ช่วงที่เป็นลูกอ๊อดจะอาศัยบริเวณลำธารที่น้ำไหลไม่แรง และเมื่อโตเต็มวัยจะอาศัยอยู่ข้างลำธารและพบมากในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูสืบพันธุ์
ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกบลำธาร 2 ชนิดใหม่ของโลกที่เพิ่งค้นพบนั้น ตัวแรกคือกบลำธารพะโค หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Limnonectes bagoensis ส่วนกบอีกชนิดคือ กบป่าไผ่พะโค มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Limnonectes bagoyoma ซึ่งกบทั้งสองชนิดมีลักษณะคล้ายกันคือผิวหนังลื่น มีสีน้ำตาลเข้มหรือสีเขียวมะกอกปน ขาหน้า มี 4 นิ้ว ไม่มีพังผืด ขาหลังมี 5 นิ้ว มีพังผืดสำหรับว่ายน้ำ ผิวหนังด้านหลังค่อนข้างเรียบมีตุ่มหรือสันเพียงเล็กน้อย ผิวหนังด้านท้องสีขาวครีมเรียบไม่มีตุ่ม
สำหรับลักษณะที่แตกต่างกันคือ กบลำธารพะโคจะมีแถบสีดำคาด ตั้งแต่ปลายจมูกถึงแผ่นหู และมีขนาดลำตัว 30-49 ซม. ซึ่งใหญ่กว่ากบป่าไผ่พะโคที่มีขนาด 23-29 ซม. การค้นพบกบชนิดใหม่ของโลกในครั้งนี้เป็นดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากกบชนิดนี้จะอาศัยในแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่สะอาดและมีน้ำไหลตลอดเวลา จึงจะพบได้เฉพาะในลำธารที่มีความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น
ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวด้วยว่า แม้กบลำธารจะยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่มากนัก หากการตัดไม้ทำลายป่ายังคงดำเนินต่อไป การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ป่าก็อาจทำให้กบเหล่านี้สูญพันธุ์ได้ในที่สุดจึงหวังว่าองค์ความรู้จากการวิจัยในครั้งนี้ จะทำให้คนเห็นความสำคัญของป่าไม้ ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และหาแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้เหมาะสมและเป็นการอนุรักษ์ป่าด้วย
ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า จะเดินหน้าศึกษาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในบ้านเราต่อไป โดยจะวิจัยเพิ่มเติมเรื่องกบลำธารและกบทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกบที่พบในประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งศึกษาวิจัยสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ๆ เช่น จิ้งเหลนชนิดใหม่ของโลก ที่อาศัยอยู่บนภูเขาในประเทศอินโดนีเซีย งูปี่แก้ว ซึ่งเป็นงูไม่มีพิษแต่ชอบกินไข่งูที่มีพิษ และงูกะปะ ซึ่งเป็นงูที่มีพิษรุนแรงและมักพบข่าวคนถูกงูชนิดนี้กัดจำนวนมาก เป็นต้น
“การค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ ๆ ถือเป็นดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าในภูมิภาคบ้านเรา เชื่อว่ายังมีสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอีกมากที่รอให้เราค้นพบและเรียนรู้ การศึกษาวิจัยเรื่องสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ทำให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ในระบบนิเวศ สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกบางชนิดมีประโยชน์ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้รูปร่างหน้าตาของสัตว์ประเภทนี้จะไม่สวยงามเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ๆ สัตว์บางชนิดมีอาจมีพิษที่อันตราย แต่สัตว์เหล่านี้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ การศึกษาวิจัยธรรมชาติวิทยาและชีววิทยา รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์เหล่านี้จะช่วยให้มนุษย์เราสามารถรักษาสมดุลของระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน” ดร.ภาณุพงศ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี