มิติใหม่ “ปิดทองหลังพระฯ”ยกระดับการทำงานอีกขั้น บูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้เข้มแข็ง ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคชนบท
วันที่ 26 ก.พ.65 นายกฤษฎา บุญราช ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนว พระราชดำริกล่าวว่าการดำเนินงานของปิดทองหลังพระฯ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ต้นแบบ 7 แห่ง 7 จังหวัด สามารถก้าวจากขั้นอยู่รอดและพอเพียงแล้ว ดังนั้น การทำงานของปิดทองหลังพระฯ ในแผนปฏิบัติการระยะที่ 4(พ.ศ. 2566-2570) จึงมีเป้าหมายหลัก คือ การเสริมสร้าง ความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับกลุ่มและกองทุนที่ชุมชนร่วมกันจัดตั้งและบริหารจัดการเอง ให้สามารถเชื่อมโยงกับภายนอกได้ ตามแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า รวมทั้งจะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการท างานให้สอดคล้องกับ บริบทและสถานการณ์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวต่อไปว่า การทำงานของปิดทองหลังพระฯ ในระยะต่อไป จึงจะเป็นการสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรของโครงการในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อ ขยายผลต่อยอดในเชิงธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ผู้ประกอบการเกษตรชีวภาพ เกษตร หมุนเวียนและเกษตรสีเขียว หรือ BCG Model โดยปิดทองหลังพระฯ จะปรับบทบาทของตัวเองจากการเป็นหน่วยงาน พัฒนาหลัก เป็นการเชิงรุกแสวงหาความร่วมมือและบูรณาการท างานร่วมกับภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมและ สถาบันการศึกษามากขึ้น ตลอดจนเป็นผู้ให้บริการทางวิชาการความรู้ การฝึกอบรม และที่ปรึกษาด้านการพัฒนา
“ปิดทองหลังพระฯ จะแสวงหาความร่วมมือทั้งด้านการทำงาน องค์ความรู้และแหล่งเงินทุนจากทุกภาคส่วนที่ ต้องการเห็นภาคเกษตรและชนบทมีความเข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งแนวทางการทำงานใหม่นี้ ได้เริ่มดำเนินการแล้วในปี 2565 นี้”
นายกฤษฎา กล่าวถึงรูปแบบของการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เช่น ภาครัฐทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ งบประมาณมากเกินกำลังเกษตรกร เช่น พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน ปิดทองหลังพระฯ เสริมศักยภาพเชิงบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุง เสริมศักยภาพกลุ่มผู้ใช้น้ำติดตามสนับสนุนความรู้ต่อเนื่อง ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และ เชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ เช่น การเพาะปลูกที่แม่นยำ ความรู้ที่ทันสมัย การวางแผนการปลูกให้ตรงตามความต้องการของ ตลาด ขณะที่เกษตรกรต้องช่วยตนเองด้วยการยกระดับเป็นผู้ประกอบการ มีการสร้างตราสินค้า และพัฒนามาตรฐาน การผลิตให้มีปริมาณ คุณภาพ และความต่อเนื่อง เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของปิดทองหลังพระฯ ในปี 2564 ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ สรุปว่าการดำเนินงานในพื้นที่ต้นแบบ 7พื้นที่ 9 จังหวัด สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่ต้นแบบให้กับประชาชน 5,278 ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รวม 109,911,556 บาท ทำให้ครัวเรือน ทั้งหมด มีรายได้ผ่านเส้นความยากจนระดับประเทศที่ 102,763 บาทต่อครัวเรือนต่อปีพื้นที่ป่าในจังหวัดอุทัยธานี ได้รับการอนุรักษ์ดูแลรักษา รวม 6,598 ไร่ มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการทำเกษตรแบบแม่นยำ ทำให้ มีผลผลิตที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) สามารถผ่านมาตรฐานการทดสอบสารพิษ โรง คัดและบรรจุผักผลไม้ จังหวัดขอนแก่นได้มาตรฐาน GMP และมาตรฐานสาธารณสุข สบ.1 การเลี้ยงไก่ประดู่หางดำ จังหวัดขอนแก่น ได้มาตรฐาน GFM และการเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยชุมชนบริหารจัดการกันเอง ทำให้ 19 หมู่บ้านในพื้นที่ต้นแบบจังหวัดน่านและอุดรธานีมีแผนพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนที่มีคุณภาพพร้อมต่อการส่งมอบพื้นที่เข้าสู่แผน ปกติ มีกลุ่มการผลิตและกองทุนได้รับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน 22กลุ่ม จาก 44 กลุ่ม
“การพัฒนาของปิดทองหลังพระฯ ที่น้อมน าแนวพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ใน ๑๓ ปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การพัฒนาตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระ บรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติและ ประชาชนได้อย่างแท้จริง”นายกฤษฎา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี