"อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ"อดีตอธิการบดี มธ.ยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.อ้างถูกชาย 4 คน คล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบบุกคุกคามถึงที่พัก
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ศาสตราจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วย นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดี กรณีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2555 เวลากลางวันหลังบ่ายโมง ได้มีชาย 4 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ เดินทางโดยรถยนต์กระบะส่วนบุคคล ปิดบังอำพรางหมายเลขทะเบียนรถไปยังอาคารคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในซอยชัยพฤกษ์ 9 ถนนบรมราชชนนี แขวงและเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่พักของศาสตราจารย์ชาญวิทย์
โดยบุคคลกลุ่มดังกล่าวจำนวน 2 คน ได้บุกเข้าไปในที่ทำการของเจ้าหน้าที่ประจําคอนโดมิเนียม โดยอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมิได้บอกสังกัด ถือภาพถ่าย แต่มีภาพบัตรประชาชนของศาสตราจารย์วิทย์ และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่คอนโดดังกล่าวในเวลานั้นหรือไม่ เมื่อเจ้าหน้าที่คอนโดแจ้งว่าขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่ที่ที่พักดังกล่าว กลุ่มบุคคลที่อ้างตนเป็นตำรวจก็ได้ให้เจ้าหน้าที่พาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของข้าพเจ้า เมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าในเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในห้อง ชายกลุ่มนั้นจึงได้ถ่ายภาพห้องพักของข้าพเจ้าและเดินทางกลับ โดยก่อนหน้านั้นได้บอกกับเจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมว่ามาหาเกี่ยวกับการที่ตนเองสนับสนุนการผู้ชุมนุมทางการเมืองของ เยาวชนในขณะนี้
ทั้งนี้ จึงเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอาญาแผ่นดินในหลายบทกฎหมาย เพราะเป็นการข่มขู่คุกคาม และเป็นความผิดต่อเสรีภาพ รวมทั้งหากเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ย่อมเป็นความผิดของเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่อีกส่วนหนึ่งด้วย จึงขอให้ ผบ.ตร.สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวโดย ทันที และหากพบว่าเป็นการกระทําความผิดอาญา ขอให้สั่งการให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลผู้ก่อเหตุดังกล่าวโดยรวดเร็วทันที ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการปกป้องคุ้มครองประชาชนตามหน้าที่
พร้อมยอมรับว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวตนเองก็รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัย และคิดจะเก็บเรื่องไว้คนเดียว แต่ที่ต้องออกมายื่นหนังสือเพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของตนเพียงคนเดียว แต่ยังต้องการปกป้องคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ให้ถูกกระทำแบบเดียวกัน และเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ด้าน ทนายกฤษฎางค์ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องมาร้องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านมานานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ตลิ่งชัน เจ้าของพื้นที่ติดต่อสอบถามไปยัง อ.ชาญวิทย์ เพื่อแสดงความห่วงใย ประกอบกับที่ผ่านมีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม จึงเกิดความไม่เชื่อ และต้องการให้ผู้บังคับบัญชาลงมาดำเนินการ หากเป็นตำรวจจริงก็ต้องมีการดำเนินคดี โดยหลังจากยื่นหนังสือแล้วจะโพสต์หนังสือลงในโซเชียลมิเดีย ส่วนหลักฐานอื่นๆ ยืนยันว่า มีภาพวงจรปิดของคอนโดมิเนียมและพยานบุคคลให้การยืนยันได้ชัดเจน
สำหรับบรรยากาศการยื่นหนังสือวันนี้ ได้มีมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจ อาทิ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ได้นำภาพวาดและขอความให้กำลังใจมามอบให้ อ.ชาญวิทย์ และยังมี นายวรัญชัย โชคชนะ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ตลอดจนลูกศิษย์และมวลชนที่สนับสนุนและเรียกร้องประชาธิปไตย นำดอกไม้มามอบให้ ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สำหรับ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นนักเขียนและนักประวัติศาสตร์ชาวไทยผู้สนใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 อ.ชาญวิทย์ เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักเขียนรางวัลศรีบูรพา โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มักจะแสดงความคิดเห็นเอียงข้างม็อบ 3 นิ้ว อย่างแจ้งชัด จนถูกโยงว่าอยู่เบื้องหลังหรือไม่ด้วยซ้ำ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี