เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาเรื่อง “ครบรอบ 1 ปี หมิงตี้เคมิคอล หลังเพลิงสงบ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน” ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ย่านงามดูพลี-สาทร กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเชิงระบบของ กสม.
สืบเนื่องจาก กสม. ได้หยิบยกเหตุการณ์ระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติกของบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564 ขึ้นตรวจสอบ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของชุมชนอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและสิทธิในสุขภาพ จึงเห็นสมควรให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เพื่อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนมาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2565 ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานดังกล่าวแล้วเห็นว่ามีประเด็นแยกพิจารณาสรุปได้ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง สิทธิของประชาชนในกระบวนการอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน/และกระบวนการอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองหรือไม่ อย่างไร พบว่า ในการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เมื่อปี 2534 บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงาน กำลังการผลิตปริมาณ 2,400 ตัน/ปี ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการบังคับใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรปราการ จึงไม่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
และยังไม่มีระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการพิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและใบอนุญาตขยายโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พ.ศ. 2555 จึงไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (Environmental Safety Assessment: ESA) และไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ดังนั้น ในชั้นการขออนุญาตประกอบกิจการจึงไม่ปรากฏกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในส่วนของการขออนุญาตขยายโรงงาน บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ได้ขออนุญาตขยายโรงงานและได้รับอนุญาตให้ขยายโรงงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. 2544 เพิ่มปริมาณผลิตวัตถุดิบรวมเป็น10,000 ตัน/ปี และครั้งที่สองเมื่อเดือน ต.ค. 2560 เพิ่มกำลังการผลิตเม็ดโฟมปริมาณรวม 36,000 ตัน/ปี โดยในครั้งที่สองได้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการพิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและใบอนุญาตขยายโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พ.ศ. 2555 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 ซึ่งใช้บังคับแล้วในขณะนั้น
โดยการขออนุญาตขยายโรงงานทั้งสองครั้งซึ่งมีการเพิ่มขยายพื้นที่โรงงานเพื่อเก็บวัตถุดิบ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการแจ้งว่าไม่ได้รับการประสานให้ตรวจสอบข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาต และการอนุญาตเกี่ยวกับโรงงานจำพวกที่ 3 พ.ศ. 2549 กำหนดให้การอนุญาตขยายโรงงานต้องตรวจสอบทำเลสถานที่ตั้ง เนื่องจากเป็นกรณีการใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนมีการบังคับใช้ผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี 2537
ดังนั้น แม้พื้นที่บริเวณโรงงานของบริษัท หมิงตี้ฯ จะจัดอยู่ในที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) ต้องห้ามประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 44 แต่เนื่องจากโรงงานของบริษัท หมิงตี้ฯ ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินมาก่อนที่จะมีผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรปราการใช้บังคับ จึงสามารถประกอบกิจการโรงงานในพื้นที่ดังกล่าวต่อไปได้
อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.การผังมือง พ.ศ. 2518 มาตรา 27 มีข้อกำหนดห้ามบุคคลใดใช้ประโยชน์ที่ดินผิดไปจากที่ได้กำหนดไว้ในผังเมือง เว้นแต่กรณีที่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นมาก่อนที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมและจะใช้ประโยชน์ในที่ดินเช่นนั้นต่อไปได้ก็ต่อเมื่อไม่ขัดต่อสาระสำคัญที่เกี่ยวกับสุขลักษณะ ความปลอดภัยของประชาชน และสวัสดิภาพของสังคม ซึ่งในประเด็นนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยตอบข้อหารือกรมโยธาธิการและผังเมือง สรุปได้ว่า บริษัท หมิงตี้ฯ สามารถประกอบกิจการได้เท่าที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินเท่าที่ได้ดำเนินการมาถึงเดือน มิ.ย. 2544
การที่บริษัท หมิงตี้ฯ ได้รับอนุญาตให้ขยายโรงงาน ครั้งที่ 1 เมื่อเดือน ก.ค. 2544 และครั้งที่ 2 เมื่อเดือนตุลาคม 2560 เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองที่มีเจตนารมณ์มุ่งคุ้มครองสุขลักษณะ ความปลอดภัยของประชาชนและสวัสดิภาพของสังคม เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากอันตรายในการประกอบกิจการซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในสุขภาพ และสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง สิทธิของประชาชนในการได้รับความช่วยเหลือและเยียวยาจากสถานการณ์ฉุกเฉินหรืออุบัติภัยร้ายแรง เป็นไปตามที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองหรือไม่ อย่างไร พบว่า เมื่อพิจารณาการดำเนินการและแผนการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐขณะเกิดเหตุ พบว่า หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามเข้าควบคุมเพลิง แต่ไม่สามารถดับเพลิงได้ในทันที เนื่องจากผู้เข้าปฏิบัติงานไม่ทราบข้อมูลสารเคมีที่รั่วไหล ทั้งชนิดปริมาณ และตำแหน่งที่จัดเก็บ ทำให้การควบคุมเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาดำเนินการยาวนาน จนเกิดความเสียหายขยายวงกว้าง
อีกทั้งยังส่งผลให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย สำหรับการช่วยเหลือและเยียวยาผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประชาชน ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแรงงาน เห็นว่า ด้านความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน นั้น บริษัท หมิงตี้ฯ ได้ให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนให้ได้รับการชดใช้เยียวยา พร้อมจัดให้มีช่องทางการรับเรื่องร้องทุกข์และให้คำปรึกษาในการเรียกร้องค่าเสียหายตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย
ด้านความช่วยเหลือแรงงาน บริษัทได้จ่ายค่าจ้างและให้ความช่วยเหลือลูกจ้างตามหลักแรงงานสัมพันธ์ โดยมีสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการเข้ามากำกับดูแล ด้านผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน หน่วยงานด้านสาธารณสุขได้ดำเนินการตรวจรักษา คัดกรอง ติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ส่วนด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาตรวจสอบ ติดตาม และเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงาน ตลอดจนจัดให้มีแผนการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม และรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการเรียกร้องให้บริษัท หมิงตี้ฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายสูญหาย หรือเสียหายแล้ว
โดยสรุป กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานของบริษัท หมิงตี้ฯ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564 มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในสุขภาพ และสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืนของประชาชน อย่างไรก็ตาม แม้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจจะได้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา แต่จากการตรวจสอบมีข้อค้นพบ ดังนี้
1.แม้โรงงานของบริษัท หมิงตี้ฯ จะได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินมาก่อนที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม แต่จากข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าการวางผังเมืองและการควบคุมอาคารในพื้นที่ดังกล่าวอาจจะยังไม่ได้พิจารณามาตรการป้องกันผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงงานเท่าที่ควร ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการมีโรงงานที่มีความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการโรงงานหรือการครอบครองวัตถุอันตราย จำนวน 203 แห่ง
2.หน่วยงานในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นยังขาดข้อมูลการครอบครองสารเคมีและวัตถุอันตรายของโรงงาน และทรัพยากรเกี่ยวกับจัดการเหตุอุบัติภัยสารเคมี รวมทั้งขาดการบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี เครื่องมืออุปกรณ์ และบุคลากรในการตรวจสอบจัดการมลพิษฉุกเฉินจากอุบัติภัยสารเคมี
3.คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้จังหวัดสมุทรปราการเป็นเขตควบคุมมลพิษเมื่อปี 2537 แต่แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 60 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ไม่ครอบคลุมการป้องกัน กำจัดและบำบัดมลพิษที่เกิดจากสารเคมี หรือวัตถุอันตราย อีกทั้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นและหน่วยงานในระดับพื้นที่ยังขาดองค์ความรู้และเครื่องมือในจัดการปัญหามลพิษ
4.ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดการรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมี วัตถุดิบ หรือผลิตภัณฑ์จากการประกอบกิจการโรงงานในพื้นที่ชุมชนของตน ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงกับการเข้าถึงข้อมูลสารเคมีหรือวัตถุอันตรายอันจะส่งผลโดยตรงกับความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชน
แม้โรงงานจะมีการจัดทำแผนงานบริหารจัดการความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ แต่ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้รับรู้รับทราบและร่วมซักซ้อมแผนดังกล่าว เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยจึงสร้างความสับสนและขาดข้อมูลในการประเมินสถานการณ์ ความเสี่ยง และป้องกันตนเองในเบื้องต้น
ดังนั้น เพื่อให้สิทธิของบุคคลและชุมชนได้รับการคุ้มครองตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้การรับรองไว้ กสม. จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน และแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมโรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ กรมควบคุมมลพิษ คณะกรรมการผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ดังนี้
1.มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน 1.1 ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบหาสาเหตุและดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กรณีการขยายโรงงานทั้งสองครั้งที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายผังเมือง 1.2 ให้จังหวัดสมุทรปราการ ติดตามผลการชดเชยและเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายให้ครบถ้วนครอบคลุมทั้งความเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย ทรัพย์สิน สุขภาพอนามัยของประชาชน
1.3 ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเรียกค่าใช้จ่ายในการที่รัฐเข้าช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย บำบัด บรรเทา หรือขจัดความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 1.4 ให้กรมควบคุมมลพิษ เรียกค่าเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับความเสียหาย ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 รวมทั้งติดตามตรวจสอบสารเคมีตกค้างในพื้นที่โรงงานและพื้นที่ใกล้เคียงจนกว่าจะแล้วเสร็จ
2.มาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 2.1 ให้คณะกรรมการผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ และ อบจ.สมุทรปราการ ทบทวนผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรปราการ หากพบว่าโรงงานใดมีการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภทหรือการได้รับยกเว้นให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน อาจกระทบต่อสาระสำคัญที่เกี่ยวกับสุขลักษณะ ความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม หรือประโยชน์สาธารณะ ให้พิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือกำหนดมาตรการในการใช้ประโยชน์ที่ดินนั้นอย่างเข้มงวด
2.2 ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง สำรวจตรวจสอบโรงงานทั่วประเทศที่ได้ขยายโรงงานในที่ดินซึ่งใช้ประโยชน์มาก่อนมีการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองรวม เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัย หากมีความเสี่ยงน้อยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยหรือแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหมาะสม หากมีการใช้ที่ดินผิดไปจากกฎหมายผังเมืองหรือการใช้ที่ดินต่อไปจะขัดต่อสุขลักษณะความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม หรือประโยชน์สาธารณะ ให้นำมาตรการตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 มาตรา 37 มาปรับใช้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดต่อไป
2.3 ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขยายโรงงาน มีการตรวจสอบข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินและต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกำหนดเงื่อนไขสำหรับโรงงานที่มีความเสี่ยงเพื่อให้มีหลักประกันคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้มีการจัดตั้งกองทุนโดยให้ผู้ประกอบการนำส่งเงินในสัดส่วนที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้นำหลักชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNGPs) มาปรับใช้ในการดำเนินการ
2.4 ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ปรับปรุงประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการดำเนินงานและการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน โดยเพิ่มกลไกและมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและชุมชนที่อยู่บริเวณโดยรอบโรงงาน เพื่อให้มีการเตรียมการและซักซ้อมเมื่อมีภัยอันตรายมาถึง และเป็นการเตรียมการที่ดีสำหรับภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำหนดแนวทางล่วงหน้าเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวภายใต้หลักการป้องกันล่วงหน้า
2.5 ให้กระทรวงมหาดไทย มอบหมายหน่วยงานในสังกัดปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละท้องที่ โดยเพิ่มแนวทางและมาตรการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงการใช้หรือการครอบครองวัตถุอันตรายที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยร้ายแรง รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในการระงับเหตุให้หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละท้องที่ให้เพียงพอและเหมาะสมกับประเภทความเสี่ยง โดยให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมสนับสนุนข้อมูลในการปรับปรุงแผนดังกล่าว รวมทั้งจัดให้มีระบบเชื่อมโยงและบูรณาการ การทำงานร่วมกัน
2.6 ให้จังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับปรุงแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษ ตามพ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ ให้ครอบคลุมถึงการควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากแหล่งกำเนิดที่ใช้หรือครอบครองสารเคมีและวัตถุอันตราย เพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับการลด ขจัดมลพิษ และควบคุมการปลดปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าวด้วย และ 2.7 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผลักดันให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยสารเคมี (Pollutant Release and Transfer Registration: PRTR)
น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การที่ บ.หมิงตี้ฯ ขยายกำลังการผลิตเป็น 36,000 ตันต่อปี ในการขออนุญาตครั้งที่ 2 ซึ่งสาระสำคัญคือไปกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่อยู่ในที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) ต้องห้ามประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 44 ดังนั้นจริงๆ แล้ว กรมโรงงานอุตสาหกรรม ต้องเพิกถอนใบอนุญาตการขอขยายกำลังการผลิตครั้งที่ 2 ดังกล่าว
ด้าน น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวเสริมว่า นอกจากโรงงานลำดับที่ 44 แบบเดียวกับ บ.หมิงตี้ฯ แล้ว ยังมีโรงงานลำดับที่ 53 และลำดับที่ 53 (5) ที่มีลักษณะและอันตรายคล้ายกัน ซึ่งพบว่า มีโรงงานทั้ง 2 ประเภทอยู่เป็นจำนวนมากในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี