หมายเหตุ : รายงานฉบับนี้เป็นการสรุปย่อจากบทความ “อนาคตประชากรไทย : ในวันที่การตายมากกว่า การเกิด” เพื่อให้พอดีกับพื้นที่ของหนังสือพิมพ์ ซึ่งบทความดังกล่าวเขียนโดย ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระอดีตอาจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯและสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ,ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเงิน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ และ ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระ อดีตอาจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ เผยแพร่โดย สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin)
สำหรับประเทศไทย หลายภาคส่วนได้เริ่มตระหนักและเห็นความสำคัญของการก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุ” เนื่องจากเกรงว่า “อัตราภาวะเจริญพันธุ์ (Total Fertility Rate: TFR) ของไทยที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว จะไม่เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” โดยในปี 2564 ประเทศไทยมีการตายมากกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก อ้างอิงสถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง นับจากเดือน ม.ค.-ธ.ค. 2564 มีการตายมากกว่าการเกิด 19,080 คน ในขณะที่ปี 2563 ยังมีการเกิดมากกว่าการตายอยู่ถึง 85,930 คน
“หากมองย้อนไปในอดีตในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 (ปี 2504-2509) และแผนฯ 2 ปี 2510-2514) พบว่าอัตราภาวะเจริญพันธุ์ของประเทศไทยเคยอยู่ที่ร้อยละ 6” หรือแต่ละครอบครัวเคยมีบุตรประมาณ 6 คนโดยเฉลี่ย “โดยในขณะนั้นมีการมองว่า อัตราภาวะเจริญพันธุ์ในระดับสูง เป็นการถ่วงโอกาสการพัฒนาของประเทศ” รัฐบาลจึงได้เริ่มกำหนดนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 (ปี 2515-2519) โดยมุ่งดำเนินการลดอัตราการเพิ่มประชากรอย่างต่อเนื่องจนถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 (ปี 2535-2539)
นอกจากนี้ “ปัจจัยทางสังคมและทางเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ การเพิ่มขึ้นของอัตราการมีส่วนร่วมในกําลังแรงงานของสตรี (female labor force participation) มีส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง” ประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายทางประชากรในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (ปี 2545-2549) โดยกำหนดนโยบายที่เน้นการกระจายตัวประชากรและการตั้งถิ่นฐานชุมชนเมือง-ชนบทที่เติบโตอย่างเหมาะสม
“และในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (ปี 2550-2554) มุ่งรักษาระดับของอัตราภาวะเจริญพันธุ์ไม่ให้ต่ำกว่า 1.8” โดยในแผนพัฒนาฯ ฉบับต่อๆ ไปก็ยังคงมุ่งเน้นรักษาระดับอัตราภาวะเจริญพันธุ์ไม่ให้อยู่ในระดับต่ำ “อย่างไรก็ดี การรักษาระดับอัตราภาวะเจริญพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้โดยง่าย โดยในปี 2553 อัตราภาวะเจริญพันธุ์ของประเทศลดลงเหลือ 1.6 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน (Replacement Level)” และยังคงลดลงเรื่อยมา
โดยตัวเลขจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2562 ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย พบอัตราภาวะเจริญพันธุ์ลดลงเหลือ 1.44 ในขณะที่สถิติสาธารณสุข ปี 2562 พบอัตราภาวะเจริญพันธุ์อยู่ที่ระดับ 1.29 การลดลงของภาวะเจริญพันธุ์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และ “การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระดับประเทศ” โดยประเด็นเหล่านี้ได้ถูกบรรจุให้เป็น “วาระแห่งชาติ”โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในหลายๆประเด็น
อย่างไรก็ดี ความท้าทายอีกมุมหนึ่งของการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุที่จะมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับความสนใจและยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องจากประชาชนและภาคส่วนต่างๆ คือการก้าวเข้าสู่ “สังคมไร้บุตรหลาน” จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานฃองประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2549-2561 พบว่า โครงสร้างของครัวเรือนที่ “ไร้บุตรหลาน” มีสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยในปี 2561 นั้นมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 37.4 ของครัวเรือนทั้งหมด (เพิ่มจากร้อยละ 26.1 ในปี 2549) ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต (growth rate) ที่สูงถึงร้อยละ 43.3
โครงสร้างของครัวเรือนที่ไร้บุตรหลาน ประกอบด้วยครอบครัว DINK (Double Income No Kids) หรือ ครอบครัวที่สามีและภรรยาไม่มีบุตร และครอบครัว SINK (Single Income No Kids) หรือ ครอบครัวที่ผู้ชายหรือผู้หญิงอยู่คนเดียวและไม่มีบุตร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ครอบครัว DINK กับ ครอบครัว SINK พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่าน ครอบครัว SINK มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมากกว่าอย่างชัดเจน และหากคิดเป็นจำนวนจะพบว่า “ประชากรไทยในปัจจุบันกว่า 21 ล้านครัวเรือน เป็นครัวเรือนไร้บุตรหลาน” และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
สาเหตุหลักของการเกิดสังคมไร้บุตรหลานนั้นเกิดจากการที่สังคมไทยมีแนวโน้มการมีบุตรในจำนวนที่ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถเห็นได้จากการลดลงของอัตราภาวะเจริญพันธุ์ หรือจำนวนบุตรเฉลี่ยต่อสตรีหนึ่งคนตามที่กล่าวแล้วข้างต้น สาเหตุหลักของการลดลงของอัตราภาวะเจริญพันธุ์นั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและค่านิยมทางสังคม อาทิ การมีงานทำของสตรีที่มีจำนวนและอัตราที่สูงขึ้น อายุแรกสมรสของคู่สมรสที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การที่สตรีไทยมีบุตรคนแรกในวัยที่สูงกว่าในอดีต แนวโน้มของการเป็นโสดที่เพิ่มมากขึ้น
และ แนวโน้มการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง “แนวโน้มเหล่านี้เป็นผลจากค่านิยมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป”โดยผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการมีความพร้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเองเป็นลำดับต้นในการบรรลุ
เป้าหมายของชีวิต ซี่งจะเห็นได้จากแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมที่เน้นเลือกที่จะทำงานสร้างรายได้ก่อนที่จะแต่งงาน และเลือกที่จะมีบ้าน มีรถ เครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้านก่อนที่จะมีบุตร หรือเลือกที่จะเป็นโสดมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของชีวิตด้วยตนเองและไม่ต้องมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่ง
“หากอ้างอิงข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2549-2561 พบว่าจำนวนครัวเรือนผู้สูงอายุที่ไร้บุตรหลานมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในปี 2561 จำนวนครัวเรือน DINK และครัวเรือน SINK ที่เป็นผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี) มีจำนวนมากกว่า 4 ล้านครัวเรือน” ซึ่งเมื่อดูผลการศึกษาในต่างประเทศ จะพบความแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา กล่าวคือ
“หากเป็นงานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มักจะพบว่าก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ไร้บุตรหลานนั้นไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุทั้งในด้านการเงินและด้านสุขภาวะทางจิต” เช่น สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกจะมีทรัพย์สินโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้สูงอายุที่มีลูกด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้วผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตร ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินไว้สำหรับมรดกของบุตรหลานจึงสามารถใช้จ่ายเงินในวัยเกษียณได้มากกว่า อีกทั้งที่พบว่าการไม่มีลูกหลานไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุในด้านการเงิน ในด้านสุขภาวะทางจิต และ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
“แต่งานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนานั้นกลับให้ผลน่าเป็นห่วง” เช่น ที่ประเทศจีน พบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรจะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่า และรู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรและรายได้น้อย สาเหตุหลักของความทุกข์เกิดมาจากการไม่ได้รับการดูแลทางการเงินจากบุตรที่ตนเองไม่มี การได้รับการดูแลทางการเงินจากบุตรเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุชาวจีนคาดหวังตามแบบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขา เช่นเดียวกับประเทศไทยที่พบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรจะมีสุขภาวะทางจิตที่แย่กว่าและมีโอกาสเกิดโรคซึมเศร้าได้สูง
“ผลกระทบจากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ไร้บุตรหลานนั้นอาจจะน่ากลัวกว่าที่เราคิดไว้ด้วยซ้ำ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีโอกาสส่งผลกระทบเชิงลบในวงกว้างและมีความรุนแรงมากกว่าสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างเช่น ประเทศไทย เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้โดยเฉลี่ยที่สูงกว่า และมีสวัสดิการทางสังคมที่ค่อนข้างดีกว่ามาก อย่างที่เรามักจะกล่าวกันว่าประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นรวยก่อนสูงวัย แต่ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราสูงวัยก่อนรวย”
สำหรับอนาคตประชากรไทยผู้เขียนได้คาดประมาณแนวโน้มประชากรไทยเป็นสามแนวโน้ม) ดังต่อไปนี้1.แปรผันปานกลาง (Medium Variant) แนวโน้มภาวะเจริญพันธุ์ช่วงปี 2553-2558 ถึงช่วงปี 2583-2588 ใช้ค่าจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย ปี 2553-2583 (ฉบับปรับปรุง) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2.แปรผันสูง (High Variant) ปรับแนวโน้มภาวะเจริญพันธุ์ให้ลดลงกว่าแนวโน้มภาวะเจริญพันธุ์สำหรับการแปรผันปานกลาง โดยในช่วงปี พ.ศ. 2558-2563 พบว่าค่าภาวะเจริญพันธุ์มีความใกล้เคียงกับข้อมูลจากสถิติสาธารณสุข ปี 2562 ที่พบอัตราเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.29 และ 3.แปรผันต่ำ (Low Variant) โดยภาวะเจริญพันธุ์ใน 4 ช่วงปีแรกถูกตั้งค่าเหมือนกลุ่มแปรผันปานกลาง อย่างไรก็ตามตั้งแต่ช่วงปี 2558-2563 จนถึงช่วงปี 2593-2598 ตั้งค่าภาวะเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.6 โดยเป็นระดับภาวะเจริญพันธุ์เดียวกับประเทศสวีเดน
จากสมมุติฐานข้างต้น พบว่าประชากรไทยจะเริ่มลดลงราวปี 2566 ปี 2573 และปี 2578 สำหรับสมมุติฐานการแปรผันสูง ปานกลาง และต่ำ โดยในกรณีแปรผันสูงซึ่งภาวะเจริญพันธุ์อยู่ในระดับที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ประชากรในประเทศไทยมีประมาณ 65.4 ล้านคนในปี 2568 โดยจะลดลงต่อไปเป็นประมาณ 62 ล้านคนในปี 2588 และเหลือเพียง 55.9 ล้านคนในปี 2598 ซึ่งเป็นการลดลงเกือบ 10 ล้านคน
“สำหรับประเด็นการลดลงของอัตราภาวะเจริญพันธุ์ของไทยที่ต่ำกว่าระดับทดแทนในปัจจุบันนั้น จากประสบการณ์ของประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำกว่าระดับทดแทนมาก่อนประเทศไทย พบว่ายังไม่มีประเทศใดสามารถทำให้อัตราภาวะเจริญพันธุ์เพิ่มสูงขึ้นได้ภายในระยะเวลา 10-20 ปีเนื่องจากความไม่สอดคล้องกันระหว่างบริบททางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลต่อภาวะการมีบุตรในจำนวนที่ต่ำกว่าความปรารถนา
โดยประเด็นที่สำคัญที่ต้องแก้ไขคือการปรับทัศนคติว่าการมีบุตรไม่ใช่เรื่องของแต่ละครอบครัว แต่เป็นเรื่องของสังคมด้วย เนื่องจากบุตรของแต่ละครอบครัวจะเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญของสังคมต่อไปในอนาคต และทุนมนุษย์นี้จะกลายเป็นทุนทางสังคมและเป็นฐานพลังทางเศรษฐกิจที่จะรองรับสัดส่วนประชากรสูงวัยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว”
แต่ทว่า การปรับทัศนคติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลามาก ดังเช่นประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อาทิ ประเทศสวีเดน ซึ่งอัตราภาวะเจริญพันธุ์เพิ่มขึ้นจาก 1.52 ในปี 2542 มาเป็น 1.57 ในปี 2544 และ 1.67 ในปี 2548 โดยแต่ละครอบครัวเน้นที่จะมีบุตรให้สามารถทดแทนประชากรรุ่น (Generation) ก่อนหน้าตน เนื่องจากได้เล็งเห็นปัญหาของหลายประเทศที่ครอบครัวมีบุตรน้อยลงจนต้องพึ่งแรงงานย้ายถิ่นจากต่างแดน
ทำให้ประเทศที่พึ่งแรงงานย้ายถิ่นจากต่างแดนมักเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ (Heterogeneous Society) เกินกว่าความต้องการ นอกจากนี้ ประเทศสังคมผู้สูงอายุหลายประเทศ รวมถึงประเทศในแถบเอเชีย เช่น ประเทศสิงคโปร์ มีแนวโน้มในการให้ความสำคัญลดลงต่อการนำเข้าแรงงานย้ายถิ่น โดยให้ความสำคัญกับปริมาณและคุณภาพของคนในชาติ เป็นหลัก
โดยสรุปแล้ว “เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นต้องยอมรับว่า สังคมไทยกำลังเปลี่ยนจากสังคมปู่ย่าตายาย หรือสังคมพ่อแม่ลูก ไปสู่สังคมไร้บุตรหลานอย่างรวดเร็ว” ดังนั้นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยไร้บุตรหลานอย่างเร่งด่วน โดยผู้สูงวัยในอนาคตจะไม่สามารถอาศัยการดูแลของครอบครัว แต่ต้องอาศัยการวางแผนเพื่อดูแลตัวเอง ส่วนภาครัฐเองก็จำเป็นต้องเป็นที่พึ่ง(สุดท้าย) ที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุไทยในอนาคต
นอกจากนี้แล้ว การมีกลุ่มเพื่อนฝูงในวัยใกล้เคียงกันคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็น่าจะมีส่วนสำคัญในการลดปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงวัยไร้บุตรหลานได้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี