ตร.รวบ3ผู้ต้องหา
แก๊งคอลเซ็นเตอร์
หลอกลวงต่อเนื่อง
เสียหาย60ล้านบาท
ตำรวจไซเบอร์ บุกทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตรวจค้น 2 จุด รวบได้3 ผู้ต้องหา สัญชาติจีน-ไต้หวันหลอกลวงต่อเนื่อง มูลค่าเสียหายรวม 60 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 9 ก.ย.65 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบอาญชากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท.,นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต. ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน ผบก.ตอท. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวกรณีจับกุมผู้ต้องหาแก็งคอลเซ็นเตอร์
โดยพล.ต.ท.กรไชย กล่าวว่าตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพแก็งคอลเซอร์ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก จากกรณีเมื่อเดือน ก.ค. - ส.ค.65 ทาง บช.สอท.ได้มีปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 3 ครั้ง ทำการตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯและในพื้นที่ อ.บางละมุง จว.ชลบุรีรวม 23 จุด สามารถตรวจยึดเครื่องส่งสัญญาณ IP-PBX รวม 202 เครื่อง ซึ่งภายใน 1 วัน จะส่งสัญญาณโทรออกไปยังประชาชนได้กว่า 3.23 ล้านครั้ง/วัน หรือประมาณ 96.96 ล้านครั้ง/เดือน
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.65 ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ ถูกคนร้ายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกลวงข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีที่คนร้ายเตรียมไว้ รวมเป็นเงินกว่า 6.9 ล้านบาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายค้นสถานที่ต้องสงสัยเชื่อว่าใช้ในการกระทำผิด จำนวน 2 จุด คือ คอนโดย่านอโศก-รัชดา และคอนโดย่านรัชดา-สุทธิสาร
กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ทำการเข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว ผลการตรวจค้น จุดที่ 1 คอนโดย่านอโศก-รัชดา สามารถจับกุม ผู้ต้องหาสัญชาติจีน - ไต้หวันได้ 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ” ตาม ป.อาญา มาตรา 269/6 (จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) พร้อมตรวจยึดของกลางกว่า 40 รายการ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด 33 เครื่อง, คอมพิวเตอร์แล็บ ทอป, แท็ปเล็ต, หนังสือเดินทาง, สมุดบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรเอทีเอ็ม เป็นต้น
จากการตรวจสอบโทรศัพท์ของกลางพบว่า มีการติดตั้งแอปพลิเคชันของธนาคารซึ่งได้ลงทะเบียนผูกไว้กับบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) จำนวนกว่า 13 บัญชี โดยผู้ต้องหาให้การรับว่าบัญชีดังกล่าวมีไว้รับโอนเงินจากเหยื่อที่ถูกหลอกลวง นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบประวัติการการเข้าถึงระบบบริหารการจัดการฐานข้อมูล ที่มีไว้เพื่อใช้สำหรับหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งภายในโปรแกรมพบหมายจับ หมายเรียก หมายคดีฟอกเงินของ ปปง. ปรากฎชื่อบุคคลอื่นในหมายจับ และข้อมูลทะเบียนราษฎร์ (ทร.14) ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมาจำนวนมาก รวมถึงพบว่ามีการปลอมแปลงเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI อีกด้วย
จุดที่ 2 คอนโดย่านรัชดา-สุทธิสาร สามารถจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติจีน 1 ราย อายุ 29 ปี โดยกล่าวหาว่า “ เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ” ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 81 (จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) พร้อมตรวจยึดของกลางกว่า 12 รายการ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ และสมุดบัญชีธนาคาร เป็นต้น
ตรวจสอบจากฐานข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดว่า 2,162 วัน ไม่มีการแจ้งขออยู่ต่อแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังพบผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นหญิงไทยอีก 1 ราย เชื่อว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิด
สรุปจากการตรวจค้น ทั้ง 2 จุด จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย (จีน-ไต้หวัน 2, จีน 1) ผู้ต้องสงสัย 1 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป พบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวหลอกลวงแล้วหลายราย มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 60 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี