อุตุฯเตือนฝนตกหนักถึง 9 ต.ค.
‘บิ๊กตู่’ ลุยอุบล-ขอนแก่น
ลั่นพร้อมดูแลผู้ประสบอุทกภัย
‘ตาก’ดินสไลด์-เสาไฟหักโค่น
อ่างทองอ่วมน้ำท่วมขยายวง
‘เลย’น้ำทะลักพื้นที่เศรษฐกิจ
กทม.จับตาเจ้าพระยาล้นตลิ่ง
“บิ๊กตู่”ลงพื้นที่ขอนแก่น-อุบลฯ แก้น้ำท่วม ให้กำลังใจประชาชน ย้ำรัฐบาลดูแลเต็มที่ ด้านอุตุฯชี้ 4-9 ตุลาคม กทม.-ปริมณฑล ฝนยังตกหนัก กอนช.เตือนเฝ้าระวังแม่น้ำป่าสัก-เจ้าพระยาใน 4 จังหวัด เพิ่มสูง กรมชลฯ ระดมเครื่องสูบขนาดใหญ่ ผันน้ำลงทะเล ส่วนที่อุ้มผาง ดินสไลด์ทับเส้นทาง เสาไฟหักโค่น อ่างทองยังอ่วม น้ำท่วมสูงขยายวงกว้าง วังช้างกรุงเก่า ย้ายช้างหนีน้ำ เมืองทองฯ-แจ้งวัฒนะ น้ำยังท่วมขังหลายจุด
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะ เดินทางไปติดตามสถานการณ์อุทกภัย ที่ จ.ขอนแก่น และอุบลราชธานี โดยทันทีที่เดินทางถึงท่าอากาศยานขอนแก่น ได้รับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำ และสถานการณ์อุทกภัย จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
นายกฯติดตามน้ำท่วมขอนแก่น
ทั้งนี้ นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น ได้กล่าวรายงานสถานการณ์น้ำใน จ.ขอนแก่นโดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตำหนิใคร แต่ต้องการมาช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด และขอให้ทุกฝ่ายพยายามเยียวยาอย่างทั่วถึง ส่วนแนวทางการแก้ปัญหามีแผนงานโครงการของทุกจังหวัดอยู่แล้ว ซึ่งหลายโครงการมุ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2565 และบางโครงการมุ่งให้สำเร็จในปี 2566
ชี้ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน
นายกฯ กล่าวว่า การระบายน้ำในพื้นที่และการพร่องน้ำต่างๆต้องบูรณาการไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน ซึ่งภาพรวมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางพื้นที่น้ำมาก บางพื้นที่น้ำน้อย ดังนั้นต้องพิจารณาหาแนวทาง เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันในเรื่องของการกักเก็บน้ำ หากยังมีฝนตกในปริมาณมากกว่าที่จะระบายน้ำได้ทันก็จะมีปัญหาอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่การแก้ตัว แต่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
ให้สรุปแบ่งกลุ่ม-เยียวยาทั่วถึง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า มีการแก้ปัญหาต้องสรุปและแบ่งเป็นกลุ่มในการเยียวยาให้ทั่วถึง เช่นกลุ่มเกษตรกร ภาคธุรกิจ ในฐานะรัฐบาลได้สั่งการให้เตรียมการไว้นานแล้ว จึงขอให้ทุกหน่วยงาน ดำเนินการให้เร็วที่สุดในทุกพื้นที่ รวมถึงขอความร่วมมือภาคเอกชนเข้ามาช่วยในเรื่องอาหาร อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เป็นการรวมพลังคนไทย มากบ้างน้อยบ้าง เร็วบ้างช้าบ้าง หากไม่ทำเช่นนี้ก็แก้ไขไม่ได้ ขอให้ทำให้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง
นั่งรถทรานฟอร์เมอร์ตรวจงาน
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางออกจากท่าอากาศยานขอนแก่นด้วยรถยนต์ทรานฟอร์เมอร์ สีส้ม ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทะเบียน 1 นข 4001 กรุงเทพมหานคร ไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และตรวจระบบการทำงานของเครื่องสูบน้ำแรงดันสูง ที่บึงหนองโคตร หน้าวัดศรีสะอาดหนองโคตร ต.บ้านเป็ด อ.เมืองจ.ขอนแก่น ซึ่งถือเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่พื้นที่ 800 ไร่ เพื่อใช้ในการป้องกันปัญหาอุทกภัยในเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจของ จ.ขอนแก่น
ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้กำลังใจ และฝากความคิดถึงไปทุกจังหวัด เพราะเวลานี้น้ำท่วมหลายจังหวัด ก่อนจะกำมือตบที่หน้าอก และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่า “กำลังใจๆ เชื่อมั่นในพวกเรา” และว่าเข้าใจหรือไม่ ความรักความสามัคคีกัน ร่วมมือกัน เชื่อฟังคำแนะนำ แล้วมันก็จะคลี่คลาย ความเดือดร้อนต่างๆ รัฐบาลจะดูแล พร้อมกับได้ชูนิ้วไอเลิฟยู ให้กับประชาชน
เผยปีนี้พายุทำน้ำท่วมแต่รบ.ดูแล
จากนั้นคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าเยี่ยมผู้ประสบภัยที่บ้านพรหมนิมิต หมู่ 4 ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยทักทายประชาชน ก่อนกล่าวว่า ปีนี้พายุเข้าทำให้มีน้ำท่วมหลายพื้นที่ แต่บางประเทศเดือดร้อนกว่าเรา พายุเข้ากวาดทั้งเมือง ขณะเดียวกันประเทศไทยก็หนัก แต่อะไรที่เดือดร้อน รัฐบาลจะดูแล ช่วงนี้อยู่กับน้ำให้ได้ ส่วนพนังกั้นน้ำที่ขอ ได้สั่งการไปยังผู้ว่าฯแล้ว ขอให้ประชาชนตั้งหลักให้ดีกรณีที่ทางการเตือนและคาดการณ์ไว้
ขอนแก่นไร้ป้ายต้อนรับตามคำสั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น ของนายกฯ ในครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่พบป้ายให้การต้อนรับแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องมาจากในการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าการลงพื้นที่ต่างจังหวัดห้ามมีป้ายต้อนรับและยืนถือป้ายใดๆทั้งสิ้น
อุตุฯชี้4-9ต.ค.กทม.ฝนยังตกหนัก
ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศว่า ระหว่างวันที่ 4-9 ตุลาคม 2565ฝนทางตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเริ่มเบาลงบ้าง แต่ภาคกลาง (กทม.และปริมณฑล) ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังมีฝนตกต่อเนื่อง จากมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุมทางตอนบน ทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย และมีลมตะวันออก ลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้
อันดามัน-อ่าวไทยคลื่นปานกลาง
ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง โดยวันที่ 10-13 ตุลาคม 2565 จะมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะแรก จากนั้นฝนจะเริ่มลดลง ทิศทางลมเริ่มเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมวลอากาศเย็น (ความกดอากาศสูง)แผ่ลงมาปกคลุมทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เปลี่ยนทิศเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น เป็นสัญญาณการเริ่มเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวช่วงแรกอากาศจะมีความแปรปรวน ฝนตอนบนเริ่มเบาลง ฝนจะยังตกบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก
กอนช.เตือนน้ำป่าสัก-เจ้าพระยาสูง
ขณะที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ออกประกาศ ฉบับที่ 47/2565 เรื่อง เฝ้าระวังระดับน้ำแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยา ระบุว่า จากคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ทาง กอนช.ได้ประเมินฝนคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ช่วงวันที่ 3-9 ตุลาคม 2565 ประมาณ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) กรมชลประทาน จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำในเขื่อนดังกล่าว ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยจะปรับเพิ่มจากอัตรา 600 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 800 ลบ.ม.ต่อวินาที
เขื่อนใหญ่ปรับเพิ่มการระบายน้ำ
สำหรับการปรับเพิ่มในอัตราดังกล่าวจะทำให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสักด้านท้ายเขื่อนป่าสักฯ จ.ลพบุรี ถึงเขื่อนพระรามหก จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น 0.40-1.00 เมตร และบริเวณท้ายเขื่อนพระรามหก ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น 0.40-0.60 เมตร และจุดบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น 0.25-0.50 เมตรทำให้มีปริมาณน้ำไหลผ่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ในเกณฑ์ 3,300-3,500ลบ.ม.ต่อวินาที และส่งผลให้เกิดน้ำไหลย้อนเข้าแม่น้ำน้อย ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูง ประกอบกับลุ่มน้ำยมเกิดน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งได้หน่วงน้ำโดยการผันน้ำเข้าไปเก็บในทุ่งบางระกำเต็มความจุแล้ว และมีน้ำหลากจากแม่น้ำปิงไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น
สั่งท้ายเขื่อนพร้อมรับผลกระทบ
ดังนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาจาก จ.ชัยนาท ถึง จ.สมุทรปราการ จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ 2,700-2,800ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ระดับน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา อ.เมืองและ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท และ อ.เมืองจ.อุทัยธานี เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.30 เมตรเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1.ติดตามสถานการณ์น้ำ 2.เตรียมเครื่องมือเครื่องจักรบูรณาการความพร้อมในการเข้าช่วยเหลือประชาชน 3.ปรับแผนบริหารจัดการน้ำ และ 4.แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ และบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ให้ทราบล่วงหน้า
‘เฉลิมชัย’สั่งกรมชลฯระดมสูบน้ำ
ด้าน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้กรมชลประทาน เร่งระดมเจ้าหน้าที่ พร้อมเครื่องสูบน้ำ ผลักดันน้ำช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมทุกจังหวัด โดยบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน ซึ่งจังหวัดในลุ่มเจ้าพระยา กทม.และปริมณฑล ได้เร่งผันน้ำลงทะเล โดยใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 220 เครื่อง ติดตั้งตามสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก สูบลงแม่น้ำนครนายกและแม่น้ำบางปะกงฝั่งตะวันออก ลงอ่าวไทย ทางทิศใต้ ปริมาณวันละ 45 ล้าน ลบ.ม.หรือ 525 ลบ.ม.ต่อวินาที
เผยสูบ-ผันน้ำแล้ว2พันล้านลบ.ม.
ทั้งนี้ หากรวมปริมาตรน้ำที่กรมชลประทานสูบน้ำและผันน้ำล่วงหน้ารองรับฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 11กรกฎาคมถึงปัจจุบัน เกือบ 2,000ล้าน ลบ.ม.และยังเร่งผลักดันน้ำลงทะเลต่อเนื่อง ส่วนการบริหารจัดการน้ำทั้งตอนเหนือและใต้เขื่อนเจ้าพระยาได้ผันน้ำทุกช่องทางทั้งฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้รวมทั้งพื้นที่แก้มลิงลงทุ่งที่เตรียมไว้ให้มีผลกระทบต่อประชาชนและเกษตรกรน้อยที่สุด
นอกจากนั้นยังกำชับให้ดำเนินการกำจัดผักตบชวาและสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดเส้นทางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและเปิดทางให้น้ำไหลได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบต่อเนื่อง
บุรีรัมย์น้ำท่วมถนนยาว2กิโลฯ
ที่ จ.บุรีรัมย์ สถานการณ์น้ำท่วมยังวิกฤต โดยน้ำจากลำน้ำมาศ หลากท่วม ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ เป็นวงกว้าง กินพื้นที่รวม 13 หมู่บ้าน มีบ้านเรือนถูกน้ำท่วม 40 หลังคาเรือน ระดับน้ำสูงเฉลี่ย 50 เซนติเมตร- 1 เมตร พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 1,700 ไร่ ส่วนถนนลำปลายมาศ-หินโคน ถูกน้ำท่วมเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตร เป็นทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ทำให้การสัญจรไปมาเป็นไปด้วยความยากลำบาก รถยนต์และจักรยานยนต์ ไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้
อย่างไรก็ดี ผู้ใหญ่บ้านของบ้านหินโคน ได้นำรถไถมาดัดแปลงให้บริการขนจักรยานยนต์และรับส่งชาวบ้านเป็นการชั่วคราว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้มีเกษตรกรบางส่วนนำรถไถมารับจ้งขนรถและจักรยานยนต์ เพื่อหารายได้ชดเชยในช่วงน้ำท่วมดังกล่าว
เลยน้ำท่วมขยายวงเขตเศรษฐกิจ
ส่วนที่ จ.เลย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระดับน้ำเลย ได้เอ่อท่วมสูงจนเป็นสถิติใหม่ในรอบ 5 วันที่ผ่านมา โดยน้ำได้ท่วมเขตเทศบาลเมืองเลย และพื้นที่เศรษฐกิจ ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับน้ำสูง 40-50 เซนติเมตร การสัญจรเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งชาวบ้าน บริษัท ห้างร้านต่างๆ ได้ร้องขอกระสอบรายจากทางเทศบาลเมืองเลย เพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการป้องกันน้ำท่วม จนต้องมีการประกาศรับบริจาคทรายและกระสอบเพื่อบรรจุและนำไปแจกจ่ายประชาชน
ดินสไลด์ที่อุ้มผางทำจราจรอัมพาต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝนที่ตกหนักบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ส่งผลให้เกิดดินสไลด์จากยอดเขา ลงมาปิดทับเส้นทางแม่สอด-อุ้มผาง ทับเส้นทางเข้าออก ที่หลัก กม.ที่ 65 บ้านอุ้มเปี้ยม-บ้านแม่กลองใหญ่ ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต โดยกองดินโคลนและต้นไม้ขนาดใหญ่ ยังล้มทับเสาไฟฟ้าหักโค่น 4 ต้น จนไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง รถยนต์จอดติดบนถนนกลางยอดดอยจำนวนมาก
น้ำป่าซัดสะพานพังน้ำเริ่มท่วม
นอกจากนี้ได้เกิดน้ำป่าจากภูเขาสูงไหลทะลักลงสู่ลำห้วยแม่กลอง ซัดคอสะพานข้ามลำห้วยแม่กลอง บ้านปรอผาโด้จนคอสะพานที่เชื่อมถนนแม่สอด-อุ้มผาง ช่วง กม.ที่ 149 พังเสียหาย รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรได้ ชาวบ้านต้องวนรถกลับ ทำให้ชาว อ.อุ้มผาง ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ภายหลังยังเกิดดินสไลด์อย่างต่อเนื่อง และจุดที่น้ำป่าซัดคอสะพานระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องประเมินว่าอาจต้องใช้เวลา 2 วัน ในการเคลียร์พื้นที่เพื่อเข้าแก้ไขปัญหา
ห้วยขาแข้งปิดท่องเที่ยวชั่วคราว
ขณะที่ จ.อุทัยธานี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งประกาศปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากฝนตกชุกหนาแน่น สภาพอากาศแปรปรวน โดยปริมาณฝนวัดได้ 132 มิลลิเมตร และยังมีฝนตกต่อเนื่องจากต้นน้ำทับเสลา อ.ลานสัก ทำให้น้ำป่าหลากท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จนอาจเกิดอันตราย
ทั้งนี้ ปริมาณน้ำในเขื่อนทับเสลา เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีปริมาณน้ำเก็บกัก 151 ล้าน ลบ.ม.และมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน 7.81 ล้าน ลบ.ม.จึงจำเป็นต้องระบายน้ำวันละ2ล้าน ลบ.ม.จึงแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ท้ายเขื่อนเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูง
ป่าโมกรร.จม-ถนนน้ำท่วมอ่วม
ที่ จ.อ่างทอง สถานการณ์น้ำท่วมใน อ.ป่าโมก น้ำได้ขยายวงกว้าง โดยที่วัดพินิจธรรมสาร ต.บางปลากด อ.ป่าโมก น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นภายในวัด โรงเรียน และชุมชนโดยรอบ ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร การสัญจรเข้าออกพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องใช้เรือในการเดินทาง ส่วนถนนสาย309 อ่างทอง-พระนครศรีอยุธยา บริเวณหน้าที่ว่าการ อ.ป่าโมก ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้เส้นทาง เนื่องจากน้ำเอ่อล้นบนถนนเป็นช่วงๆ
ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ จ.อ่างทองมีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบแล้วใน4 อำเภอ 15 ตำบล 49 หมู่บ้าน รวม 1,985 ครัวเรือน
หมู่บ้านช้างกรุงเก่าเร่งย้าย80เชือก
อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่น้ำลพบุรี ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่ง เข้าท่วมหมู่บ้านช้างของวังช้างอยุธยาแลเพนียด ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูง 30-50 เซนติเมตร แม้ว่าจะมีการวางกระสอบทรายกั้นทางน้ำแล้วก็ตาม โดยนายอิทธิพันธุ์ ขาวละมัย ผู้จัดการวังช้างอยุธยาแลเพนียด เปิดเผยว่า ช้างแม่ลูกอ่อน ลูกช้าง และช้างชรา รวมถึงช้างทั่วไปมีอยู่รวม 80 เชือก ทุกเชือกปลอดภัยแต่มีการเคลื่อนย้ายช้างทั้งหมดไปยังที่ดอน บริเวณด้านหลังหมู่บ้านช้างแล้ว ขณะนี้ได้ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ปั้นคันดินขวางทางน้ำและเริ่มสูบน้ำออก คาดว่าสามารถกู้คืนพื้นที่ได้ในวันเดียวกันนี้
แม่น้ำบางปะกงถูกน้ำทะเลหนุน
ส่วนที่เขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา มีฝนตกต่อเนื่อง และแม่น้ำบางปะกง มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้น้ำทะลักท่วมถนนและบ้านเรือนชาวบ้าน ระดับน้ำบางจุดสูงกว่า 40 เซนติเมตร การจราจรติดขัดอย่างหนัก ขณะที่ถนนหน้าเมือง ตัดเข้าถนนศรีโสธรตัดใหม่ จักรยานยนต์หลายคันที่พยายามขับฝ่าน้ำ แต่ไม่สามารถขับผ่านไปได้และเครื่องยนต์ดับ จนต้องเข็นออกไป นอกจากนี้น้ำยังเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนริมสองฝั่งถนน ไม่เว้นแม้แต่ถนนชุมพล หน้า สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งปกติน้ำไม่เคยท่วมก็ยังมีน้ำท่วม 10-20 เซนติเมตร ซึ่งเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 5 จุดรอบเมืองฉะเชิงเทรา เพื่อเร่งผลักดันน้ำออกสู่แม่น้ำบางปะกง หากฝนไม่ตกซ้ำ คาดว่าน้ำจะค่อยๆ ลดปริมาณลง
เมืองทองฯ-แจ้งวัฒนะน้ำยังขัง
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ของ จ.นนทบุรี โดยพบว่าภายในเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด น้ำยังท่วมหลายจุด เช่น ถนนบอนด์สตรีท บึงคู่ น้ำท่วม 12 เซนติเมตร สะพานคลองบางพูด น้ำขังประมาณ 6เซนติเมตร แยกกรมที่ดิน น้ำท่วมประมาณ 10 เซนติเมตร ถนนบอนด์สตรีท ติวานนท์ ยังคงมีน้ำท่วมประมาณ 10เซนติเมตร แยกซอย C12 น้ำท่วมประมาณ 35เซนติเมตร ถนน P1 ปากทางแจ้งวัฒนะ น้ำท่วมขังประมาณ 10 เซนติเมตร
อย่างไรก็ดี ระดับน้ำในจุดต่างๆ ลดลงเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เร่งระบายน้ำต่อเนื่อง โดยถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงใต้ทางด่วน ปริมาณน้ำลดลงมีน้ำขังอยู่ 1-2 ช่องทาง ทั้งขาเข้าและขาออกเป็นช่วงๆ ระดับน้ำ 10-15 เซนติเมตร เป็นระยะทาง 500 เมตร ส่วนใต้ทางด่วนงามวงศ์วาน ทั้งขาเข้าและขาออก ไม่มีน้ำท่วมขังแล้ว
กทม.ชี้5-13ต.ค.เจ้าพระยาเพิ่มสูง
ด้านเพจกรุงเทพมหานคร ออกประกาศเตือนระวังระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูง ระบุว่า5-13ตุลาคมนี้ กทม.เฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น รวมทั้งมีการระบายน้ำบริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อาจทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติโดยระดับน้ำจะมีความสูงประมาณ 1.70-2.00เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง หากพบปัญหาน้ำท่วมขังสามารถสแกน QR Code แจ้งได้ที่traffy fondue และFacebook ศูนย์ประสานงานน้ำท่วม กทม.ทั้งนี้ กรมอุทกศาสตร์ได้แจ้งระดับน้ำให้ทราบล่วงหน้าไว้ที่ “สภาวะน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา”ในเว็บไซต์ของกรมอุทกศาสตร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี