รอบรั้วเมืองใต้ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น.....ร้องกันมาหนาหู ว่าเจ้าหน้าที่พยาบาล และจนท.ตรวจเอกซเรย์ รพ.สงขลา พูดจาไม่เป็นภาษาดอกไม้กับผู้ป่วยและญาติ เป็นการทำร้ายจิตใจญาติและผู้ป่วยด้วย อ้าวงานนี้ ผอ.รพ.สงขลา ช่วยตรวจสอบหน่อย
...หมูไม่กลัวน้ำร้อน สถานบริการหลายแห่งที่บ้านไทยจังโหลน ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เปิดให้บริการกันยันสว่าง ลืออีกว่ามีการอัดยาเสพติดในบางแห่งจนสว่างอีกด้วย งานนี้ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 และนายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ลองส่งลูกน้องที่เชื่อใจได้เข้าตรวจสอบหน่อย...เริ่มต้นที่สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ล่าสุดยิ่งมีปฏิบัติการก่อการร้ายของกองกำลังติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นในพื้นที่ ซึ่งจะเน้นปฏิบัติการในพื้นที่ของปัตตานีเป็นด้านหลัก ทั้งการซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหาร และผู้นำท้องที่ ซึ่งเป็นกำลังของฝ่ายปกครอง ซึ่งข่าวจากวงในของบีอาร์เอ็น แจ้งว่า จะมีปฏิบัติการเช่นนี้ ตลอดทั้งเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนรอมฎอน ที่เป็นเดือนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม.....การฆ่าคนในเดือนนี้โดยฝีมือของกองกำลังติดอาวุธที่บอกกล่าวกับประชาชนปัตตานีว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม จึงเป็นบาปใหญ่ ไม่ใช่บุญใหญ่ หรือได้บุญ 10 เท่า อย่างที่ฝ่ายศาสนา ของบีอาร์เอ็นทำการบ่มเพาะคนในพื้นที่ และเรื่องอย่างนี้ องค์กรหรือมุสลิมโลก อย่างโอไอซี ต้องประมาณ และกล่าวโทษบีอาร์เอ็น เช่นเดียวกับ เจนีวาคอลล์ ซึ่งเป็นเอ็นจีโอสากล และ ไอซีอาร์ซี หรือองค์กรกาชาดระหว่างประเทศที่ต้องออกมาสั่งห้าม และประณามการปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น ไม่ใช่วางตัวเฉย เหมือนกับเห็นดีด้วยกับปฏิบัติการในการฆ่าคน ในเดือนรอมฎอนของบีอาร์เอ็น เพราะองค์กรสากลเหล่านี้ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรเลยกับการใช้ความรุนแรงของบีอาร์เอ็น
.....ส่วนในพื้นที่ ผู้นำศาสนาเอง ตั้งแต่ระดับกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จนถึงอิหม่าม ที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณของประชาชน ในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงให้ความสำคัญว่าการสร้างความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะแก้ได้ ก็ด้วยความร่วมมือจากบาบอและโต๊ะครู-โต๊ะอิหม่ามในพื้นที่ ซึ่งสุดท้ายก็คาดหวังไม่ได้ เพราะอิทธิพลของบีอาร์เอ็น ยังสร้างความหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยง โดยให้ความร่วมมือกับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ดังนั้นตราบใดที่กองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็น ยังสามารถเคลื่อนไหวเพื่อซุ่มยิง และวางระเบิดแสวงเครื่อง ต่อเป้าหมายในพื้นที่โดยประสบความสำเร็จ ก็อย่าหวังที่จะได้รับความร่วมมือจากผู้นำศาสนา ชีวิตใครใครก็รัก
.....และที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด คือการที่บีอาร์เอ็นนำประเด็นของเหตุการณ์ตากใบทมิฬ ที่ปฏิบัติการในการสลายการชุมนุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร เมื่อ 19 ปีก่อน ที่เป็นเหตุให้มีคนตาย 80 กว่าศพ ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อตอกย้ำความเจ็บปวดของประชาชนในพื้นที่อีกครั้งในเดือนถือศีลอดเพราะบีอาร์เอ็นไม่ได้นับเดือนที่เกิดเหตุคือเดือนตุลาคม 2547 ที่เป็นเดือนที่เกิดเหตุแต่บีอาร์เอ็น นับเดือนรอมฎอน เป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น เนื่องจากตากใบทมิฬ เกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน ของปี 2547 ดังนั้น พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.รมน.ภาค 4 และรวมทั้งผบ.ฉก.ผบ. เลข 2 ตัว และฉก.ต่างๆ ในพื้นที่ ต้องรับรู้ความเป็นจริง เพื่อที่จะได้มีการระวังป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน และในห้วงของวันสงกรานต์ ที่เป็นวันแห่งสัญลักษณ์ของรัฐไทย ก็หวังว่าแม่ทัพต้นจะแสดงฝีมือให้คนในปลายด้ามขวานได้ประจักษ์ว่าเป็นแม่ทัพตัวจริงที่ไม่มีนายเก่า ค่อยทำหน้าที่กำกับ และบอกบท เหมือนกับการเชิดหนังลุง
.....ส่วนเรื่องของคณะพูดคุยสันติสุข ที่มี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะ ก็ขอบอกคนในพื้นที่รวมทั้งคณะ สล.3 ที่มาจากภาคประชาชน ว่าอย่าคาดหวังอะไรให้เลอเลิศ เพราะจากการติดตามสถานการณ์ ของการพูดคุย หลังจากที่ ตันศรี ซุลกิฟลี ผู้อำนวยความสะดวกของประเทศมาเลเซีย เดินทางมาเยือนพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2566 โดยฝ่ายความมั่นคงไทยเลี้ยงรับรองอย่างไม่มีที่ติ และหลังจากนั้นตันศรี ซุลกิฟลี ได้นัดแนะ กับฝ่ายเทคนิคของคณะพูดคุยฝ่ายไทยให้ไปพูดคุยหรือเจราจากับตัวแทนของบีอาร์เอ็น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา แต่สุดท้าย มีแต่ฝ่ายไทยที่รอเก้อ เพราะฝ่ายของบีอาร์เอ็นไม่มาตามนัด โดยที่ ตันศรี ซุลกิฟลี ไม่มีอำนาจไปสั่งการให้แกนนำบีอาร์เอ็นมาประชุมร่วมกับฝ่ายเทคนิคของคณะพูดคุย ฝ่ายไทยได้การประชุมจึงล้มเลิก เพราะโดยบีอาร์เอ็นเทนี้คือสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยของรัฐไทย ต้องทำสาร หรือจดหมายน้อย ถึงตัวแทนของบีอาร์เอ็นแทนการพูดคุย หรือเจรจา เพื่อขอร้องให้บีอาร์เอ็นช่วยสร้างสันติสุขในเดือนรอมฎอน แต่สิ่งที่บีอาร์เอ็นให้มาคือความเงียบ และสารจากบีอาร์เอ็น ที่ส่งถึงประชาชนชาวปัตตานีว่า ระหว่างสันติภาพกับเอกราช บีอาร์เอ็น เลือกอย่างหลัง ก็คงจะไม่ตอกย้ำว่า สถานการณ์ของการพูดคุยสันติสุขของรัฐไทย ในรอบ 10 ปี ก้าวหน้า หรือล้มเหลว และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือคำตอบ ที่สาธารณชน ต้องไปพิจารณาเอาเอง.....
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี