3จังหวัดภาคเหนือยังวิกฤต
ฝุ่นควันมลพิษพุ่ง
เชียงใหม่รั้งอันดับ3ของโลก
ยื่นฟ้องนายกฯเมินแก้ปัญหา
แม่ฮ่องสอนPM2.5ทะลุ329มคก.
เชียงรายเฝ้าระวังไฟป่าต่อเนื่อง
ฝุ่นควันไฟป่ายังคุกคามภาคเหนืออย่างหนัก ทำเชียงใหม่ติดอันดับ 3 เมืองมีมลพิษมากที่สุดในโลก โดย แม่ฮ่องสอนค่า PM2.5 พุ่งอันดับ 1 ของประเทศ วัดได้สูงถึง 329 มคก.ส่วนเชียงรายจุดไฟป่าปะทุหลายอำเภอ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังดับข้ามวันข้ามคืน ขณะที่เครือข่ายภาคประชาชนเชียงใหม่นำ 1.7 พันรายชื่อ ยื่นฟ้องนายกฯต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ฐานไม่บังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่น ทำประชาชนเดือดร้อน
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศจากการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือ ค่าฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย โดยเว็บไซต์ iqair ตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย ติดอันดับ 3 เมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลก ซึ่งช่วงเช้าวัดได้ 195 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ความเข้มข้น PM 2.5 ในเชียงใหม่ขณะนี้เป็น 28.2 เท่าของค่าแนวทางคุณภาพอากาศประจำปีขององค์การอนามัยโลก คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อทุกคน
แม่ฮ่องสอนค่าฝุ่นพุ่ง325มคก.
สำหรับประเทศไทย 10 อันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุด อันดับที่ 1 จ.แม่ฮ่องสอน ค่าฝุ่นสูงถึง 329 มคก./ลบ.ม. อันดับที่ 2 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 256 มคก./ลบ.ม. อันดับที่ 3 อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 256 มคก./ลบ.ม.
ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยผลรายงานจุดไฟป่าวัดได้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 96 จุด ค่าฝุ่นต.จองคำ อ.เมือง 122 มคก./ลบ.ม. อ.ปาย 259 มคก./ลบ.ม. และ อ.แม่สะเรียง 81 มคก./ลบ.ม. แสดงถึงจุดไฟป่าเริ่มลดลงต่อเนื่อง แต่ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ยังสูง และเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่อง ทัศนวิสัยในการมองเห็นทางอากาศ ลดต่ำเช่นเดิมคือวัดได้ 2 กิโลเมตร สาเหตุมาจากช่วงนี้อากาศร้อนและมีลมพัดเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนต่อเนื่องทำให้ค่าทัศนวิสัยดีขึ้น ทั้งนี้ ค่าอุณหภูมิของตัวเมืองแม่ฮ่องสอนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องมาแล้ว 3 วัน
สำหรับสถานการณ์ไฟป่า เกิดไฟป่า บริเวณป่าวัดถ้ำน้ำอบ บ้านท่าข้าม ม.1 ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน แต่ดับได้ในเวลาไม่นาน พื้นที่ถูกเผาไหม้ 7 ไร่ สาเหตุจากหาของป่า จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่าเส้นทางหลวงแผ่นดินสายแม่ฮ่องสอน - ขุนยวม ป่าสองข้างทาง ถูกไฟป่าเผาทำลายตลอดระยะ ทาง 70 กิโลเมตร มีไฟป่าไหม้ขอนไม้ / ตอไม้ ข้างทางจำนวนมาก และส่งให้เกิดควันไฟป่าลอยสู่ท้องฟ้า เป็นสาเหตุให้ควันไฟป่ายังคงหนาแน่นเช่นเดิม บริเวณหลักกิโลเมตร ที่บอกระยะทางของ แขวงทางหลวง ทุกหลักจะถูกไฟป่าเผาเศษไม้ใบตองที่ร่วงหล่นสู่พื้นทุกหลักกิโลเมตร
เชียงรายยังอ่วมไฟป่าปะทุหลายอภ.
เช่นเดียวกับ ไฟป่าหลายพื้นที่ของ จ.เชียงราย ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะลดจำนวนพื้นที่ลง อย่างที่ลำห้วยก้างปลาใกล้หมู่บ้านห้วยก้างปลา หมู่ 15 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่จันระดมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครและชาวบ้านกว่า100 คน เข้าดับไฟในเขตอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก ซึ่งเกิดในพื้นที่สูงชัด ทำให้การเข้าดับไฟเป็นด้วยความยากลำบากและผืนป่าส่วนใหญ่มีแต่กอไผ่และต้นสน เป็นเชื้อไฟอย่างดีทำให้ลุกลามต่อเนื่อง แม้เจ้าหน้าที่จะทำแนวกันไฟหลายเมตรดักทางลุกไหม้ แต่กอไผ่ที่แห้งเกิดปะทุ จนทำให้มีเปลวไฟปลิวไปตกในฝั่งที่ทำแนวกันไฟไว้ป้องกันและเกิดการลุกไหม้ขยายวงออกไปอีกส่งผลทำให้แนวกันไฟไหม้ถูกไฟป่าปลิวข้ามแดนจนลุกไหม้ถึง 3 ครั้งหรือ 3 ชั้นแล้วล่าสุดไฟได้ลามไปใกล้กับพื้นที่ชุมชนหมู่บ้านห้วยก้างปลา เจ้าหน้าที่ได้ทำแนวกันไฟใหม่และระดมกำลังกันเตรียมเข้าดับหากลามมาถึงแนวกันไฟต่อไป ซึ่งไฟป่าที่เกิดขึ้นบริเวณนี้นั้น เกิดติดต่อกันมาก 3-4 วันแล้ว เจ้าหน้าที่ยังเฝ้าระวังดับไฟป่าทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้ไฟดับสนิท ส่วนความเสียหายคาดว่ามีเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งจะได้ตรวจสอบกันต่อไป
สำหรับไฟป่าทั่ว จ.เชียงรายนั้น นอกจาก อ.แม่จัน แล้วยังพบไฟลุกไหม้ป่าเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง หมู่บ้านหนองฝา ต.แม่สรวย อ.แม่สรวย และบางส่วนของ ต.ป่าแดด ต.ศรีถ้อย ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย ใช้วิธีจำกัดวงไม่ให้ไฟขยายออกไป นอกจากนี้ ไฟยังลุกไหม้ป่าเขต ต.สันสลี อ.เวียงป่าเป้า อุทยานแห่งชาติดอยหลวงเขต ต.ป่าหุ่ง อ.พาน เจ้าหน้าที่ใช้การสนับสนุนการโปรยน้ำด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและบรรุเทาสาธารณภัย (ปภ.) ปฏิบัติภารกิจโปรยน้ำเที่ยวละ 3,000 ลิตร วันละกว่า 10 เที่ยว
ฟ้องนายกฯไม่ใช่อำนาจแก้ฝุ่นพิษ
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนจ.เชียงใหม่ นำรายชื่อผู้ร่วมสนับสนุนกว่า 1,000 คน ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ โดยตัวแทนเครือภาคประชาชนได้ชูป้ายทวงคืนการหายใจเต็มปอด นำรายชื่อประชาชนกว่า 1,700 คน เดินขบวนมายังศาลปกครองเชียงใหม่ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กล่าวหาว่าไม่ใช้อำนาจที่มีแก้ปัญหาหมอกควันฝุ่นพิษในภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ ที่มีมานานนับเดือน โดยการฟ้องร้องครั้งนี้ เรียกร้องทางคดีฟ้องนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 9 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ใช้อำนาจแก้ปัญหาฝุ่นพิษเร่งด่วน ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ขับเคลื่อนแก้ปัญหามลพิษตามแผน และฟ้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เปิดเผยข้อมูลบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่มีการเผาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการฟ้องครั้งนี้ ประชาชนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในการแก้ปัญหา ซึ่งชาวเชียงใหม่ต้องทนมากว่า 10 ปี แต่การแก้ปัญหายังทำไม่เต็มที่ จึงอยากให้ภาครัฐเห็นความสำคัญในการทำให้อากาศสะอาดมากขึ้น
เชียงรายร่วมพลังจี้ผู้ว่าฯแก้PM2.5
เวลา 17.00 น.วันเดียวกัน ชาวเชียงรายนัดรวมพลที่ห้าแยกพ่อขุน “กลุ่ม smoke’s gone” ซึ่งมีทั้งหมอ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และประชาชนอีกหลากหลายอาชีพในจ.เชียงรายออกมาแสดงพลังร่วมกัน เพื่อร่วมหาทางออกเพื่ออากาศสะอาด ชีวิตสดใสของชาวเชียงราย และลูกหลาน หาวิธีแก้ปัญหาฝุ่น pm2.5 ซึ่งการรวมตัวครั้งนี้ ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อสอบถามแนวทางการทำงาน พร้อมทั้งเสนอแนวคิดจากทางภาคประชาชน ที่ทุกคนไม่ควรต้องทนกับสภาพอากาศแบบนี้ และทวงคืนอากาศดีให้จังหวัด และชาวเชียงรายต่อไป #เชียงรายไม่ทนฝุ่น #Savechiangrai ทั้งนี้ จ.เชียงราย เป็นจังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุด 131 จุด รองลงมาคือ เชียงใหม่ 60 จุด และแม่ฮ่องสอน 31 จุด ขณะที่ภาพรวมภาคเหนือมี 355 จุด จุดความร้อนที่ยิ่งสูงขึ้น ประกอบกับฝุ่นควันข้ามแดน จ.เชียงราย แม้ค่าฝุ่นจะลดลงฝุ่นในพื้นที่ยังวิกฤติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี