ตาย 264 เจ็บ 2,208 คน
ปิดฉาก 7 วันอันตรายสงกรานต์
กทม.แชมป์ดับสะสม 22 ศพ
สาเหตุขับรถเร็ว-เมาแล้วขับ
สั่งคุมประพฤติรวม 8,575 คดี
ปิดศูนย์ฯ 7 วันอันตรายช่วงสงกรานต์ เกิดอุบัติเหตุ 2,203 ครั้งตาย 264 ศพ เจ็บ 2,208 ราย กทม.แชมป์ยอดตายสะสม 22 ศพส่วนปลัด มท.ชี้สูญเสียลดลง ส่วนสาเหตุหลักของอุบัติเหตุยังเกิดจากขับรถเร็ว-เมาแล้วขับ ด้านกรมคุมประพฤติ ปิดยอด 7 วัน เมาแล้วขับ 8,575 คดี เมืองหลวงครองแชมป์คดีสูงสุด
เมื่อวันที่ 18เมษายน ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี (ศปถ.) เปิดเผยว่า ทาง ศปถ.ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 17 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ว่าเกิดอุบัติเหตุ 183 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 16 ราย ผู้บาดเจ็บ 202 คน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 45.36 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 16.94 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จักรยานยนต์ ร้อยละ 80.10 ส่วนใหญ่เกิดบนถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 45.90 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 29.51 บริเวณจุดเกิดเหตุเป็นทางตรง ร้อยละ 83.61 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 15.01-16.00 น.ร้อยละ 9.63 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 21.56
สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี 11 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี 13 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ จันทบุรี นครปฐม น่าน ราชุบรี และลำพูน จังหวัดละ 2 ราย เจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจหลัก 1,869 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 54,274 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 279,837 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 39,611 ราย มีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 11,013 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 10,530 ราย
สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-17 เมษายน 2566 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,203 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 264 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,208 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 68 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กทม.22 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 70 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต 2 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง และพังงา
ด้านนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีปภ.กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงการรณรงค์ 7 วันแห่งความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 พบว่าในภาพรวมการเกิดอุบัติเหตุและผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ขณะที่ผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ 5.04 รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงขับรถเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุลดลงร้อยละ 1.55 ส่วนดื่มแล้วขับลดลงร้อยละ 3.26
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลค่าเฉลี่ยสถิติอุบัติเหตุทางถนนย้อนหลัง 3 ปี ช่วงสงกรานต์ปีนี้ จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ ลดลงร้อยละ 13 ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงถึงร้อยละ 15 สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็วและดื่มแล้วขับ รวมถึงจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเกิดจากการขับขี่จักรยานยนต์ ไม่สวมหมวกนิรภัย
ศปถ.ได้ประสานจังหวัดบูรณาการขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่วิเคราะห์ข้อมูลและถอดบทเรียนการดำเนินการลดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงอุบัติเหตุสูง พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินการลดอุบัติเหตุตามมาตรการที่กำหนด มาตรการที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ทำให้การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิตลดลง จะนำมาเป็นแนวทางในการทำงานอย่างต่อเนื่องระยะยาว รวมถึงให้ทุกจังหวัดพัฒนาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดความสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน
ขณะที่นายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการสรุปยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ 7วันอันตราย ว่ายอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นไปตามเป้าหมาย คือผู้เสียชีวิตลดลง 5% แม้ว่าอุบัติเหตุจะมากขึ้น ซึ่งขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียทุกราย ส่วนยอดอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 286 ครั้ง ผู้ได้รับบาดเจ็บ 2208 คนเพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 339 คน ส่วนผู้เสียชีวิต 264คน ลดลงจากปี2565 จำนวน 14คน
วันเดียวกัน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า วันสุดท้ายของการคุมเข้ม 7 วันอันตรายสงกรานต์ 2566 สถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติมีทั้งสิ้น 1,910 คดี จำแนกเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 1,870 คดี คิดเป็นร้อยละ 97.9 และคดีขับเสพ 40 คดี คิดเป็นร้อยละ 2.1 สำหรับยอดสะสม 7 วัน (วันที่ 11-17 เมษายน 2566) มีทั้งสิ้น 8,869 คดี จำแนกเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 8,575 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.69 คดีขับรถประมาท 23 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.26 คดีขับรถเร็ว 1 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.01 และคดีขับเสพ 270 คดี คิดเป็นร้อยละ 3.04 จังหวัดที่มีคดีขับรถในขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กทม.530 คดี รองลงมาร้อยเอ็ด 473 คดี และอันดับ3 เชียงใหม่ 458 คดี เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมทั้ง 7 วันที่เข้าสู่ระบบงานคุมประพฤติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 มี 7,141 คดี กับปี 2566 มี 8,575 คดี พบว่าคดีขับรถขณะเมาสุรา มีเพิ่มขึ้น 1,434 คดี คิดเป็นร้อยละ 20.08
สำหรับช่วง 7 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการให้บริการประชาชนตามสถานที่ต่างๆ โดยมีจุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้น รวมทั้งสิ้น 562 จุด ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย อาสาสมัครคุมประพฤติ เครือข่ายยุติธรรมชุมชน ผู้ถูกคุมความประพฤติ และประชาชน ทั้งสิ้น 12,636 คน
อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวย้ำถึงมาตรการคุมประพฤติที่มีต่อผู้กระทำผิดที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุราทุกราย จะต้องผ่านการคัดกรองแบบประเมินการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดสุรา จะส่งเข้ารับการบำบัดรักษา ที่สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สำหรับผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำ ต้องเข้ารับการแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้นในรูปแบบค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นระยะเวลา 3 วันต่อเนื่อง และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติ อาทิ รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ และทำงานบริการสังคม เพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการเมาแล้วขับ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อตนเองและครอบครัว รวมถึงสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี