วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ ผบก.จ.น่าน ภ.จว.น่าน พบ พ.ต.ท.สมเกียรติ รวมเงิน พงส. สภ.เมืองน่าน เจ้าของเดิม เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีเช่ารถหลบหนี ณ สภ.เมืองน่าน สอบปากคำ 2 ผู้ต้องหา หลังนายจารุพงศ์ กินะใจ อายุ 31 ปี ชาวอำเภอแม่จริม จ.น่าน เจ้าของกิจการ รถเข่าหจก.เที่ยวน่านเที่ยวไหน บ้านบุปผาราม ม.9 ต.ฝ่ายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.นัสรินฎาร์ ถ.เคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. มาติดต่อขอเซ่ารถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า Fortuner(Diesel) ทะเบียน กฉ 8067 น่าน เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่ จ.ลำปาง กับเพื่อนจำนวน 5 คน
โดยได้ทำบันทึกสัญญาเช่ากันที่ หจก.เที่ยวน่านเที่ยวไหน ตกลงให้เช่าตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.-26 เม.ย.2566 ค่าเช่าเป็นเงิน 8,500 บาท ผู้แจ้งได้รับการโอนชำระเงินจากบัญชีชื่อ น.ส.นัสรินฎาร์ จึงได้นำรถยนต์คันตังกล่าวไปส่งมอบให้กับผู้เช่าที่บริเวณสมาม กีฬาอารีน่าต.ผาสิงห์ อ.เมืองน่าน จ.น่าน เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 14 เม.ย.66 ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เม.ย.66 เวลาประมาณ 21.30 น. ผู้แจ้งไม่สามารถติดตามสัญญาณ GPS ของรถยนต์คันดังกล่าวได้อีก
หลังจากนั้นผู้แจ้งได้รับสัญญาณ GPS ล่าสุดคือรถยนต์คันดังกล่าวได้จอดอยู่ที่ รีสอร์ทเก่าแห่งหนึ่ง ต.ดอนมูล อ.สูงเม่น จ.แพร่ ของวันที่ 23 เม.ย.2566 เวลาประมาณ 09.00 น. โดยที่ผู้แจ้งจึงได้พยายามติดต่อผู้เช่า แต่ทางผู้เช่าได้บล็อคเฟสบุ๊คของผู้แจ้งและผู้แจ้งไม่สามารถติดต่อกับทางผู้เช่าได้อีก เป็นเหตุให้ผู้แจ้งเกรงว่าผู้เช่าดังกล่าวพยายามจะขโมยรถยนต์ของผู้แจ้ง จึงมาแจ้งต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าว
ต่อมา พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ ผบก.จ.น่าน ,พ.ต.อ.ชาตรี หทยวัฒน์ผกก.สภ.เมืองน่าน , พ.ต.ท.จักรพงษ์ วงศ์ไชย รอง ผกก.สส.สภ.เมืองน่าน พร้อมด้วยจนม.ตร.ชุดสืบสวน ได้ตั้งชุดเฉพาะกิจ เพื่อติดตาม จับกุม ในคดีนี้ โดยสืบทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหา เคยก่อเหตุ ในลักษณะนี้หลายพื้นที่ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4-5-6 ครั้งสุดท้ายในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยผู้ต้องหาได้ใช้บัตรประจำตัวประชาชน และใบขับขี่ที่ใช้ชื่อว่า นางสาวนัสรินฎาร์ ถนนเคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ
แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบพบว่า เป็นบัตรประจำตัวประชาชนและใบขับขี่ปลอม เลขบัตรประจำตัวไม่มีอยู่ในสารระบบ จากการตรวจสอบจากชื่อนามสกุลพบว่าเป็นชื่อนามสกุลจริง แต่ใบหน้าตามบัตรและที่อยู่ไม่ตรง พบว่าเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในภาคใต้ไม่ใช่บุคคลตามบัตรปลอมดังกล่าวคาดว่าถูกใช้ชื่อและนามสกุลเพื่อปลอมบัตร
พ.ต.ท.จักรพงษ์ วงศ์ไชย รอง ผกก.สส.สภ.เมืองน่าน จึงเปลี่ยนวิธีการสืบสวนหาข่าวเป็นการติดตามหาการเดินทางมายังพื้นที่จังหวัดน่าน พบว่าผู้ต้องหาเดินทางมาเช็คอินที่โรงแรมโดยใช้บัตรปลอมแต่นั่งรถแท็คซี่มา จึงติดตามจากกล้องวงจรปิดจนพบว่ารถแท็คซี่คันดังกล่าวรับผู้ต้องหามาจากบริเวณศาลาริมทางด้านหน้าสนามบินน่าน จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า ผู้ต้องหาอำพรางตัวใส่วิคผม ใส่แว่นดำ ใส่แมสตลอดเวลา และมีการสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้นให้ดูตัวโต โดยมีรถเก๋งขับรถมาส่ง จนทราบหมายเลขทะเบียน จึงทำการตรวจสอบพบว่าเป็นรถเช่าที่ถูกเช่ามาจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยจากการตรวจสอบพบว่า นายพงษกร (ผู้ต้องหารายที่ 2) ตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ได้เช่ารถเก๋งคันที่ขับมาส่งผู้ต้องหา จากการสืบทราบพบว่า นายพงษกร มีแฟนสาว ชื่อ นางสาวตวงพร อายุ 28 ปี มีภูมิลำเนาเดียวกับนายพงษกร จากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบัตรประจำตัวปลอมที่นำมาเช่ารถในพื้นที่จังหวัดน่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขออนุมัติศาลจังหวัดน่านเพื่อออกหมายจับ โดยชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 ออกติดตามจับกุมแต่ไม่พบตัว จึงสืบทราบว่า นายพงษกร และนางสาวตวงพร ได้อาศัยอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง ในตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน จึงนำกำลังเข้าไปติดตามจับกุมจนสามารถจับกุมตัวในข้อหา ลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันปลอมเอกสารราชการและร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม หมายจับของศาลจังหวัดน่าน แก่นายพงษกร และลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
และร่วมกันปลอมเอกสารราชการและร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม หมายจับของศาลจังหวัดน่าน ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเปฌนคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนฯ หมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ และร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปหรือรับของโจร หมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ แก่นางสาวตวงพร โดยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ก่อเหตุ และไม่ขอให้การในชั้นสอบสวน แต่ทางเจ้าหน้าที่มั่นใจเพราะมีพยานหลังฐานเพียงพอ จากการตรวจสอบพบว่า นางสาวตวงพร มีหมายจับอีก2 หมายของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหาเดียวกัน
จากการตรวจสอบพบว่า นายพงษกร ได้เช่ารถจากพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขับพานางสาวตวงพร มาส่งไว้ที่ศาลาด้านหน้าสนามบินโดยนางสาวตวงพรได้ใส่วิคผมอำพรางตัว จากนั้นได้เรียกแท็คซี่ให้ไปส่งเช็คอินที่โรงแรมโดยใช้บัตรปลอมและรอรับรถเช่า จนผู้เสียหายได้นำรถเช่ามาส่งแล้วทำสัญญาเช่า โดยนางสาวตวงพรได้ใช้บัตรปลอมในการเช่ารถ พอได้รถแล้วได้ขับรถออกจากพื้นที่จังหวัดน่านทันที โดยพบว่ากลุ่มคนร้ายได้ทำการถอดเครื่อง GPS ที่ติดรถในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดแพร่แล้วขับมุ่งหน้าไปอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และลักลอบส่งรถคันดังกล่าวไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านทันที
ทั้งนี้จากการขยายผลพบว่าทั้งสองคนยังมีเพื่อนร่วมขบวนการอีก 5 คน คือ นางสาวอรพรรณ มีหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหา ลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายฯ และอีก 4 คนที่กำลังขออนุมัติศาลออกหมายจับ โดยพบว่าทั้ง 7 คนได้ร่วมกันก่อเหตุในหลายพื้นที่ทั้งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 ภาค 5 และภาค 6 เบื้องต้นพบรถยนต์ที่กลุ่มดังกล่าวก่อเหตุไปแล้วที่มีหลักฐานแน่ชัดจำนวน 10 คัน คาดว่าน่าจะมีเพิ่มอีกจำนวนหลายคันอยู่ในระหว่างขยายผล
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน กล่าวว่า ขอฝากประชาสัมพันธ์ถึงพ่อแม่พี่น้อง ที่ถูกแก๊งนี้ดำเนินการใช้เอกสารปลอมมาเช่ารถแล้วรถหายไป ให้ติดต่อมายังสถานีตำรวจภูธรจังหวัดน่าน หรือแจ้งความในพื้นที่ที่เกิดเหตุ เพื่อจะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายกับผู้ต้องหาแก๊งดังกล่าวต่อไป.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี