ขันน็อตเข้ม‘เชียงราย’ หลังปล่อยต่างด้าวเถื่อนทะลัก แฉรูปแบบใหม่แก๊งค้าแรงงาน
10 พฤษภาคม 2566 ที่ห้องประชุม ภ.จว.เชียงราย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น น.ส.ภาณี จันทร์ตัน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย ร่วมประชุม “มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้ามาภายในประเทศและการค้ามนุษย์”
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้กำหนดภารกิจหลักที่สำคัญ 2 เรื่องตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาลรอง ผบ.ตร. ที่ได้เดินทางไปประชุมที่ภาคเหนือเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเรื่องแรกคือกำชับไม่ให้มีการลักลอบนำเข้าคนต่างด้าวโดยเฉพาะที่มีรูปแบบเป็นกระบวนการโดยเด็ดขาด ขณะที่ จ.เชียงราย มีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศ คือ ประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว และที่ผ่านมาพบว่ามีการเดินทางเข้ามาของคนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมากหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว
ทั้งนี้เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ 2 คือ แนวทางการปฏิบัติต่อแรงงานเด็กและสตรีที่อาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ซึ่งเมื่อพบกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะต้องนำเข้าสู่กระบวนการที่เหมาะสมโดยเฉพาะกรณีที่อาจพบกลุ่มคนที่ใกล้เคียงกับการค้ามนุษย์ ซึ่งก็จะใช้วิธีการผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอ ฯลฯ ซึ่งระหว่างขั้นตอนจำเป็นต้องดูแลกลุ่มคนเหล่านี้โดยเฉพาะที่เป็นเด็กและสตรี
“ขณะนี้รูปแบบการค้าแรงงานและลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวเปลี่ยนรูปแบบโดยเฉพาะลักษณะกองทัพมด ใช้ใบผ่านแดนชั่วคราวเข้ามาในลักษณะเป็นนักท่องเที่ยว หรือเข้ามาเป็นพี่น้องกันระหว่างประเทศ จากนั้นลักลอบเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฯลฯ หรือจังหวัดที่มีการใช้แรงงานในโรงงาน ดังนั้นจึงได้ประสานด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และสถานีตำรวจภูธรทุกท้องที่ที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดจนพื้นที่ตอนในที่อาจนำแรงงานไปรวมตัวกันและออกนอกเขตก่อนลักลอบไปยังตอนกลางของประเทศ” ผบช.ภ.5 กล่าว
ผบช.ภ.5 ระบุว่า จากกรณีจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองได้ ต่อไปจะประสาน ตม.เพื่อให้พิจารณาป้องกันไม่ให้บุคคลเหล่านี้กลับเข้ามาสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกรณีมีกระบวนการที่ประกอบด้วยนายหน้าและกลุ่มทุนก็จะมีการตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดหรือสแกนเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน น.ส.ภาณี กล่าวว่า ได้มีการจัดตั้งศูนย์บูรณาการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จ.เชียงราย ที่กองร้อยอาสารักษาดินแดน จ.เชียงราย ที่ 1 เพื่อให้การช่วยเหลือเด็กและสตรีโดยเฉพาะที่เป็นแม่ รวมทั้งเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการค้ามนุษย์ ขณะเดียวกันใช้เป็นสถานที่พักพิงเพื่อตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทีเกี่ยวข้องกับ 3 องค์ประการ วิธีการ กระบวนการและการแสวงหาประโยชน์จากเหยื่อ โดยเปิดเป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้ผู้เสียหายแต่ละกลุ่มได้พักพิงและมีเวลาไตร่ตรองว่าได้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่ หากเข้าข่ายก็ส่งเข้ากระบวนการคุ้มครองสถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ซึ่งเชียงรายมีคุ้มครองชายแต่หญิงไม่มีก็จะส่งไปยังเอ็นจีโอ จ.เชียงใหม่ และบ้านพิษณุโลก กระทั่งครบ 15 วันหากไม่เข้าข่ายส่งกลับดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
ขณะที่ต้นปี 2566 เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองเป็นกลุ่มใหญ่ได้หลายครั้ง โดยวันที่ 2 พ.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ร้อย ตชด.327 กก.ตชด.32 ได้สกัดจับรถยนต์กระบะ 1 คัน บนถนนสายเชียงราย-เทิง พื้นที่ ต.ท่าสาย อ.เมืองเชียงราย พบมีคนไทย 1 คน เป็นคนขับและมีชาวต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองจำนวน 30 คน นั่งโดยสารมาด้วย
ต่อมาวันที่ 4 พ.ค.66 เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันร่วมกับทหารกองกำลงผาเมือง ด่าน ตม.เชียงราย สกัดจับชาวเมียนมาได้อีก 31 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 9 คน และเด็กติดตามมาด้วย 12 คน ขณะหลบหนีมาพร้อมกับรถยนต์จำนวน 2 คัน บนถนนหมายเลข 131 (เลี่ยงเมืองตะวันตก) ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงรายจ.เชียงราย โดยในปัจจุบันทั้งหมดอยู่ที่ศูนย์ฯ และเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่............-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี