"ธาริต"ยันพร้อมติดคุกเตรียมของใช้ส่วนตัวแล้ว ชี้เป็นLast War ไม่สูญเปล่า เป็นจุดแตกหักความยุติธรรม ขอเปิดข้อมูลที่ไม่เคยพูดในศาลมาก่อน แย้มคาดหวังอานิสงส์นิรโทษกรรม เชื่อเปลี่ยนรัฐบาลตนจะได้รับความเป็นธรรม
วันที่ 8 ก.ค. 66 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI พร้อมด้วยญาติผู้เสียชีวิต 99 ศพในเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.2553 ร่วมแถลงร้องความยุติธรรม
โดยก่อนการแถลงนายธาริตเปิดเผยว่า สาเหตุที่ออกมาแถลงในวันนี้ เพราะทราบว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อย มีแนวโน้มว่าตัวเองจะเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โดยมาเล่าเรื่องราวที่อยู่ในการรับรู้ของตนเอง ไม่เคยบอกเล่าต่อสาธารณชน เท่าที่ได้ยินมาจากหูตนเองว่าหากทำคดี 99 ศพ จะมีการปฏิวัติ ก็เกิดการปฎิวัติขึ้นจริง และย้ายอดีตอธิบดีดีเอสไอ 2 คน
นายธาริต ยอมรับว่า ได้ขอเลื่อน ฟังคำพิพากษาหลายครั้งจริงจากเหตุผล 4 กรณีคือการส่งหมายศาลไม่ถึงภูมิลำเนาของผู้เสียหาย เหตุผลจากสุขภาพโดย เป็นโควิด 2 ครั้ง เส้นโลหิตตีบ ผ่าตัดไตทั้งสองข้าง , มีญาติผู้เสียหายขอเข้าเป็นคู่ความหลายครั้ง และได้ยื่นให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ในการปฏิบัติกรณีการชุมนุม และส่งให้ศาลฎีกาดำเนินการ ไม่ได้เกิดจากกรณีหลบเลี่ยงไม่ไปฟังพิพากษา มีความกังวลในการอ่านคำพิพากษาที่จะเกิดขึ้น 2 วัน ซึ่งตนประสงค์ขอศาลฎีกาคืนความเป็นธรรมให้ผู้เสียชีวิต 99 คน และตนเองในฐานะผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเมื่อวานที่ผ่านมา ( 7 ก.ค.) มอบหมายให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ขอให้ส่งป.อาญามาตรา 200 ให้ศาลวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจว่าศาลฎีกาจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
นายธาริต ระบุตนพร้อมติดคุก ยืนยันเป็นข้าราชการธรรมดา หากจะติดคุกเหมือนคดีโรงพักร้าง13 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งจำเป็นต้องเคารพคำวินิจฉัย แต่ไม่อาจทำใจยอมรับใจ ซึ่งการชี้แจงวันนี้เป็นการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายให้สาธารณชนได้เข้าใจเหตุการชุมนุม โดยก่อนหน้านี้ตนไม่เคยเปิดเผยหรือให้ข้อมูลต่อศาลโดยอ้างว่าประเทศและสถานการณ์การเมืองไม่เป็นปกติมาตลอด 9 ปี
นายธาริต กล่าวว่า การตาย 99 ศพ เป็นสาเหตุของการปฏิวัติ มีการดำเนินคดี 3 คดีกับแกนนำคดีก่อการร้าย ส่วนตัวเห็นว่าดำเนินคดีกับแกนนำเป็นเรื่องปกติ ส่วนการดำเนิน ศอฉ.ในฐานะผู้ออกคำสั่ง แต่ศาลวินิจว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. โดยส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมเตือนภัยไม่ปกติ อัยการสูงสุดได้ฟ้องตามที่ดีเอสไอ มีคนถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ออกคำสั่งศอฉ.แต่ทั้ง 3 ศาลไม่ได้พิจารณาเนื้อหาแต่ไปพิจารณาในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ให้ส่งกลับมาทำการไต่ส่วนที่ ป.ป.ช.ยอมรับว่าเป็นข้อกังวลหลังศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
นายธาริต กล่าวเพิ่มเติมว่า นายทหารชั้นผู้ใหญ่และเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติได้เรียกรถเข้าไปพบขออย่าดำเนินคดี 99 ศพ พวกอั๊วจะทำการปฏิบัติและพวกลื้อจะถูกย้าย ตนยืนยันว่าจะต้องทำ เพราะศาลสั่งเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการทำหน้าที่ของทหาร และหลังปฏิวัติไม่ถึง 24 ชม.ตนและนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ที่ดำเนินคดีกรณี 99 ศพ ถูกย้าย พร้อมขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระที่เป็น senior super บอร์ดคณะกก.อิสระ แก้ไขข้อผิดพลาดคืนความยุติ ธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ยืนยันว่าพร้อมจะไปศาลรับรองที่จะติดคุก ถือว่าติดคุกในส่วนเปล่าแต่เป็นจุดแตกหักในการเกิดความยุติธรรม และให้กำลังใจข้าราชการยุคใหม่อย่างย่อท้อในการแสวงหาของยุติธรรม
ส่วนกรณีที่ตนเองกลับคำสารภาพโดยมีเงื่อนไขในคำร้อง ว่าขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อกฎหมายจะรับสารภาพ เพราะมั่นใจว่ามาตรา 157 และมาตรา 200 ในต่างประเทศไม่มีความชัดเจนแน่นอนเป็นหน้าตาที่มีลักษณะกระทบสิทธิ จนท.รัฐอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้เชื่อว่าเมื่อการ เมืองที่เปลี่ยนตนจะได้รับความยุติธรรม
เมื่อถามว่าการยื่นศาล รธน.นั้นจะเป็นการประวิงเวลาคดีหรือไม่ นายธาริต ปฎิเสธโดยระบุว่าเห็นว่าสถานการณ์ในช่วงนี้ถือว่าดีที่สุดที่จะต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมและเพื่อเป็นการแสวงหาความยุติธรรมให้กับญาติและผู้บาดเจ็บ
นายธาริต ยอมรับว่ามีความคาดหวังเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมในรัฐบาลชุดใหม่ เพราะมองว่าจะเกิดความสมานฉันท์ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมสีเหลืองและสีแดงที่ผ่านมาขออย่ามองว่าใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน พร้อมกันนี้นายธาริตยืนยันว่าตนไม่ใช่คู่ขัดแย้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นการส่วนตัวแต่เป็นการปกป้องสิทธิ์ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นและไม่เกี่ยวข้องกับการที่นายอภิสิทธิ์ถูกเสนอชื่อกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด
ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตได้กล่าวให้กำลังใจนายธาริต ขอให้รอดจากการถูกดำเนินคดี โดยนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่พยาบาลสาวอาสาที่เสียชีวิต กล่าวว่า ระยะเวลา 13 ปีผ่านมา ส่วนตัวคิดว่าทหารน่าจะปิดคดี รู้สึกว่าต่อสู้คดีมาตั้งแต่ปี 2557 ถูกรังแกโดยเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหารมาโดยตลอด และรัฐบาลชุดนี้(รักษาการ)มีผลต่อการเสียชีวิตในปี 2553 หากจะฟอกขาวใหักับนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ จึงขอถามว่ากระบวนการยุติธรรมจะมองไม่เห็นหรือ เพราะในสายตาคนทั่วโลกมองเห็น พร้อมฝากให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการให้ความจริงเมื่อปี 2553 ปรากฎ ขอความเป็นธรรมให้ญาติผู้เสียชีวิตและตนเอง ส่วนคดี 6 ศพวัดปทุมได้ติดตามความคืบหน้าของคดีทราบว่สถูกส่งไป DSI และส่งต่อไปยังศาลทหาร อัยการศาลทหารมีคำสั่งไม่ฟ้อง ขณะนี้ญาติผู้เสียชีวิตกำลังจะมีการพูดคุยเพื่อเตรียมที่จะฟ้องร้องคดีเอง
ตอนท้ายของการแถลงข่าวนายธาริต กล่าวว่า ตนไม่เครียดในการที่จะไปรับฟังคำพิพากษาของศาลในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ ได้เตรียมพร้อมของใช้ส่วนตัวและยารักษาโรคเพราะเคยมีประสบการณ์ถูกจำคุกมาแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี