อี๋!!หมูเถือนท่าเรือแหลมฉบัง ค้างตั้งแต่ปี60 ทะลักเข้าร้านชาบู หมูกะทะ ขณะของกลางล่องหน7แสนตัน/“อัจฉริยะ”เผยหมูเถื่อนหลุดจากท่าเรือแหมฉบัง ค้างตั้งแต่ปี'60 ออกจากฟรีซเอามาตากแดดเป็นสีเขียว ทะลักเข้าร้านหมูกระทะ แถมมีการนำไปขายออนไลน์ ขณะที่ตัวแทนเกษตรกรเลี้ยงหมู ขอให้DSI เร่งช่วยตรวจสอบหมูเถื่อน อีกกว่า 1,000 ตู้
วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศกว่า 200 ราย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง โดยขอให้ตรวจตู้คอนเทนเนอร์หมูเถื่อนที่ยังซ่อนอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังอีกหลายพันตู้ และร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญากับนายด่านกรมศุลกากรแหลมฉบัง ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับพวก ภายหลังจากที่ดีเอสไอ ร่วมกับกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่ตกค้างท่าเรือแหลมฉบัง พบว่าลักลอบนำเข้าซากสุกรแช่แข็งหรือหมูเถื่อน จำนวน 161 ตู้
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลังการเข้าตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์บรรจุหมูเถื่อนดังกล่าว ปรากฏว่ายังมีการลักลอบนำออกมา 2-3 ตู้ และพบว่าการทะลักของหมูเถื่อนนั้นไม่มีหยุดหย่อนจากท่าเรือแหลมฉบังก็ขยายมายังท่าเรืออื่นๆด้วย ทั้งท่าเรือคลองเตย ท่าเรือมุกดาหาร เป็นต้น วันนี้เดินทางมาให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์หมูเถื่อนอีกกว่า 1,000 ตู้ ในท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรื่ออื่นๆ ด้วยเพราะมีการทยอยเข้ามาเป็นกองทัพมด แต่ยังไม่เอาผิดผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งถ้าคดีหมูเถื่อน 161 ตู้เสร็จสิ้นแต่การนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนไม่จบ คือ เป็นการหลอกลวงเกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่งถ้าในสองเดือนนี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาหมูเถื่อนอย่างจริงจังเด็ดขาดแล้ว เกษตรกรไทยจะเจ๊งไม่มีผู้เลี้ยงรายย่อย ประชาชนก็จะได้รับหมูเเพงเนื่องจากจะถูกควบคุมโดยกลไกจากนายทุน ขณะที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรสักครั้ง
“การขนหมูเถื่อนเข้ามาพบสองสายเรือได้นำเข้ามาตั้งแต่ปี 2560 ถ้าหลุดรอดไป 10,000 ตู้ แต่ละตู้มีมูลค่า 3.5 ล้านบาท รวมจะมีมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท ขณะการกลบฝังทำลายที่ของกลาง จ.เพชรบุรี ไม่จริง โดยบอกนำฝังกลบ 1.4 ล้านตัน แต่กลบจริง 7 แสนตัน ดังนั้น ครั้งต่อไปจะมีผู้แทนเกษตร ร่วมกับดีเอสไอและกรมปศุสัตว์ ดำเนินการฝังกลบด้วย
นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่าเนื้อหมูใน 161 ตู้ ผลิตในห้วงปี 2560-2565 เป็นสินค้าหมดอายุแล้ว หากนำออกมาตากแดดจะพบว่าเนื้อหมูเป็นสีเขียว แต่ได้ส่งร้านหมูกระทะหรือร้านชาบูแล้วค่อยสไลด์เป็นชิ้นบางๆ ไม่สามารถรู้ได้ถือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ปัจจุบันเนื้อหมูมีการขายทางออนไลน์มากขึ้น
ด้านนายสัตวแพทย์วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย ประธานกลุ่มพันธมิตรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันนี้จึงเดินทางมาเพื่ออยากให้ดำเนินการให้จบ จะเหลือกี่พันตู้ก็อยากให้จบ ทั้งในท่าเรือสงขลาหรือในภาคใต้ที่ค่อนข้างหนัก เพราะถ้าดำเนินการท่าเรือนี้จบ ท่าเรืออื่นๆก็ยังมี ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้เกษตรกรไทยล่มสลาย ซึ่งเดิมประเทศไทยมีจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู 2.8 แสนคน ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 40,000 คน เพราะวันนี้เรามีต้นทุนสำหรับหมู 96 บาท แต่ประเทศเพื่อนบ้านต้นทุนเขาอยู่ที่ 70 บาท ซึ่งส่วนต่าง 26 บาทใครคาบไปรับประทาน เมื่อต้นทุนแพง หมูเถื่อนเลยเข้ามา เกษตรกรไทยไม่มีทางสู้ ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเกษตรกร ทั้งนี้ ตนมองว่าการที่ของเถื่อนต่างๆเข้ามาเมืองไทย กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศทำอะไรอยู่ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อฝีมือการทำงานของดีเอสไอ แต่อยากให้ไม่หยุดอยู่ที่ 161 ตู้ ขอให้ตรวจสอบให้ครบ และอย่าให้หมูเถื่อนเกลื่อนเมืองอีกหากจบคดีนี้แล้ว
ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน คาดว่าไม่ถึงเดือนจะมีความคืบหน้าตามลำดับ และจะมีการขยายผลดำเนินการติดตามตัวผู้กระทำความผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมารับโทษต่อไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี