สั่งฟ้อง‘นอท กองสลากพลัส-แทนไท’
DSIไล่เช็คบิล
ร่วมกันจัดให้เล่นการพนัน-ฟอกเงิน
ชี้ทำธุรกิจรับกิน/รับจ่ายเอง
พบเส้นทางโอนเงิน500ล้าน
ส่งสำนวน‘อัยการ’สิ้นส.ค.นี้
DSIสั่งฟ้อง “นอท กองสลากพลัส-แทนไท” กับพวกรวม 4 ราย ข้อหาร่วมกันจัดให้เล่นพนันร่วมกันฟอกเงินพบเส้นทางเงินชัดเจนโอนกันกว่า 500 ล้านบาท จ่อส่งสำนวนให้อัยการสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
เมื่อวันที่ 13สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยกองคดียาเสพติด นำโดยนายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และคณะพนักงานสอบสวนได้สืบสวน สอบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือนอท กองสลากพลัส และนายทุนของนายพันธ์ธวัช ว่านายพงษธร กล่าวว่า คดีนี้ตนได้ประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่นับจำนวนสลากฯ ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัสและตรวจสอบว่าเป็นสลากฯ จริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการนับจำนวนของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่งานธุรการจะต้องทำบันทึกลงเลขในเอกสารว่า สลากฯ ดังกล่าวมีทั้งหมดกี่ใบ เป็นหมายเลขใด และงวดใดบ้าง
นายพงษธร กล่าวต่อว่า สำหรับสลากฯ ที่ได้ตรวจยึดมานั้นมีประมาณ 10 ล้านฉบับ ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง รวม 4 ราย ประกอบด้วย นิติบุคคล 2ราย ได้แก่ 1.บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด 2.บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด และบุคคลอีก 2 ราย คือ 1.นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กองสลากพลัส และ 2.นายแทนไท ณรงค์กูลประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในความผิด 2 ข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันฯ และร่วมกันฟอกเงินทั้งนี้คณะพนักงานสอบสวน ได้เตรียมส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการคดีพิเศษภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับสำนวนคดีพิเศษที่ 6/2566 ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัสเนื่องจากพยานหลักฐานพบว่า เป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เพราะนายพันธ์ธวัช มีการกำหนดราคา เข้าลักษณะการรับกิน-รับจ่ายเอง โดยการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น ซึ่งมีนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อ นายแทนไท ต้องรับเงินจาก นายพันธ์ธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคารของบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ในการรับเงิน จึงทำให้ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเรื่องเส้นทางการเงินและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน
อย่างไรก็ดี เงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังนายแทนไท พบว่ามีมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นเงินจากนายแทนไท โอนไปยังนายพันธ์ธวัช มีมูลค่า 500 ล้านบาท ขณะนี้นายแทนไท ยังไม่ได้เงินคืนจากนายพันธ์ธวัช (จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส) ซึ่งนายแทนไท ได้ยื่นเอกสารแจ้งมายังดีเอสไอว่าได้ดำเนินการฟ้องร้องเรื่องเงินต่อนายพันธ์ธวัช แต่พนักงานสอบสวนยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เนื่องจากพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ ทางพนักงานสอบสวนสามารถใช้ในการพิจารณาเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ตามฐานความผิดดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเงิน 200ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังบัญชีธนาคารของนายแทนไท นั้น นายแทนไท ได้เคยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ว่าเงินจำนวน 200 ล้านบาทที่ให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินของบริษัทฯ โดยแบ่งเป็น2 ยอด ได้แก่ ยอดแรก 150 ล้านบาท และยอดที่ 2 รวม50 ล้านบาท เป็นการจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ส่วนสาเหตุที่ไว้วางใจให้กู้ยืมเงิน เป็นเพราะนายพันธ์ธวัช ได้ติดต่อมาหารวมถึงได้เสนอแนวทางการทำธุรกิจ จึงอยากได้เงินกู้ นอกจากนี้นายพันธ์ธวัช ยังแจ้งว่าจะกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจสลากฯ ออนไลน์
ทั้งนี้ ในช่วงที่นายพันธ์ธวัชมีกระแสข่าวทางสื่อมวลชน นายแทนไท ได้พยายามบอกยกเลิกสัญญา กระทั่งนายพันธ์ธวัช ได้นัดหมายเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 เพื่อโอนเงินคืนให้นายแทนไท ส่วนสาเหตุที่นายแทนไท ต้องยกเลิกสัญญาเพราะในฐานะนายทุน ต้องพิจารณาว่านายพันธ์ธวัช และบริษัทฯ จะสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ โดยนายแทนไท มีความจำเป็นต้องปกป้องเงินทุนของตนเอง รวมทั้งเงินที่ นายแทนไท ให้นายพันธ์ธวัช กู้ยืมก็เป็นเงินจากการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากการทำธุรกิจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี