ในกรณีก่อสร้างอาคารสูง ไม่ว่าจะเป็นอาคารพาณิชย์หรือที่อยู่อาศัยนั้น มีกฎหมายกฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับ จำนวนหลายฉบับที่ทั้ง เจ้าของโครงการ ผู้ควบคุมการก่อสร้าง วิศวกร รวมถึงหน่วยงานรัฐผู้ควบคุมและอนุญาต จะต้องพิจารณาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายควบคุมด้านการก่อสร้างเช่น พ.ร.บ. ควบคุมอาคารกฎหมายควบคุมผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดิน เช่น พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน เป็นต้น
ในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในส่วนของเจ้าของโครงการ รวมถึงหน่วยงานรัฐน่าจะมีความเชี่ยวชาญและชำนาญมากกว่าผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้ซื้อโครงการ
ซึ่งผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้อนั้น ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปคงไม่สามารถเข้าตรวจสอบโครงการหรือทราบได้แน่ชัดว่าโครงการนั้นจะถูกต้องตามกฎหมายทุกประการหรือไม่ ลำพังเพียงแต่เช็ค defect ต่างๆ ติดตามโครงการให้สร้างภายในกำหนดระยะเวลา รวมถึงรอลุ้นให้โครงการเป็นไปตามสัญญาและเป็นไปตามโฆษณานั้น ก็แทบจะสุดความสามารถของผู้บริโภคโดยทั่วไปแล้ว
สำหรับในกรณีโครงการที่เกิดเหตุสุดวิสัย ดำเนินการก่อสร้างไม่ตรงตามกฎหมายและเกิดปัญหาคือไม่สามารถอยู่อาศัยได้หรือไม่สามารถดำเนินการ ซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้ แน่นอนว่าหลักการทางกฎหมายผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิ์ทางกฎหมายดำเนินคดีเพื่อเรียกเงินคืนได้แต่ต้นทุนในการดำเนินคดีก็ตาม รวมถึงระยะเวลาในการใช้สิทธิ์เรียกร้องก็ตาม รวมเป็นภาระให้แก่ผู้บริโภคซึ่งแน่นอนหากผู้ซื้อทุกรายทราบว่าโครงการจะเกิดปัญหาและไม่สามารถโอนได้ เชื่อว่าผู้บริโภคเกือบแทบทุกคนคงไม่ตัดสินใจซื้อและจ่ายเงินให้กับโครงการนั้นๆ แน่นอน
ในข้อเท็จจริงเช่นนี้ประชาชนหรือผู้บริโภคโดยทั่วไปอาจจะมีข้อสงสัยว่าเป็นลักษณะที่เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ ในข้อเท็จจริงดังกล่าวสำหรับความเห็นและแนวทางปฏิบัติทางกฎหมายทั่วๆ ไป อาจไม่เข้าข่ายฉ้อโกง เนื่องจากผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวจริง ได้มีการก่อสร้างโครงการจริง และมีการส่งมอบจริง แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านการก่อสร้างหรือเหตุผลใดทำให้ติดขัดทางกฎหมายทำให้ไม่สามารถดำเนินการครบถ้วนตามสัญญาได้ ซึ่งคงเป็นกรณีผิดสัญญาทางแพ่งมากกว่า
อย่างไรก็ตามในกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคได้เกี่ยวกับค่าปรับในเชิงลงโทษคือในมาตรา 42 ถ้าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับ สถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย
การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจกำหนดได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดมีจำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาทให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินห้าเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด
ทั้งนี้อยู่ที่ผู้บริโภครวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สคบ. รวมทั้งทนายความซึ่งเป็นผู้ตั้งต้นในการฟ้องคดีเรียกค่าเสียหาย ที่จะเป็นผู้หยิบยกมาใช้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียหายรวมถึงเป็นมาตรการลงโทษทางอ้อมให้แก่ผู้ประกอบการที่จะต้องดำเนินการก่อสร้างโครงการโดยระมัดระวังและไม่ให้เกิดความเสียหายต่อไปอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี