รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงความพยายามในการใช้ระบบจ่ายเบี้ยยังชีพแบบมุ่งเป้าด้วยการพิสูจน์ความจนเพื่อลดภาระทางการคลัง ว่า จะสร้างปัญหาในการดำเนินการมากกว่าช่วยประหยัดงบประมาณ โดยมีการคาดการณ์ว่า อาจต้องใช้เงินงบประมาณ 9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 ในการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงวัย และงบประมาณส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนประชากรผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เบี้ยยังชีพจ่ายในอัตราปัจจุบันที่ 600-1,000 บาทนั้น ก็ไม่เพียงพอต่อผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ไม่มีรายได้จากการทำงานและไม่มีเงินออม ที่สำคัญเกณฑ์ใหม่เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยยังเปลี่ยนแนวคิดสวัสดิการสมัยใหม่ถือเป็นสิทธิที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นแนวคิดสวัสดิการอนุรักษ์นิยมแบบสงเคราะห์คนจนหรือผู้ด้อยโอกาสซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมว่า ผู้ที่จะรับเบี้ยยังชีพต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด
“เมื่อกำหนดเกณฑ์ใหม่เช่นนี้ก็จำเป็นที่ต้องมีกระบวนการในการพิสูจน์ความจนขึ้น ทำให้เกิดต้นทุนในการบริหารสวัสดิการเบี้ยยังชีพ หากต้นทุนส่วนเพิ่มนี้มากกว่า ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ยากจนแต่ได้ใช้สิทธินี้ไป เกณฑ์ใหม่นี้จะไม่เกิดประโยชน์ในการประหยัดงบประมาณเพราะไม่คุ้มกับต้นทุนการบริหารจัดการพิสูจน์ความจนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในกระบวนการพิสูจน์ความจนนั้นยังก่อให้เกิดการรั่วไหลทุจริตคอร์รัปชั่นเอื้อประโยชน์กันผ่านการใช้อำนาจดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับปฏิบัติการได้ นอกจากนี้ อาจเกิดการตกหล่นตกสำรวจของผู้สูงวัยที่มีฐานะยากจนได้” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า “นอกจากไม่ควรลดสวัสดิการผู้สูงวัยจากเดิมซึ่งเป็นสิทธิให้ต้องไปพิสูจน์ความจนแล้ว ควรให้เป็นสิทธิถ้วนหน้าเหมือนเดิมและเพิ่มเบี้ยยังชีพจาก 600-1,000 บาท เป็น 2,000-3,000 บาทต่อเดือนแทน” ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นมาขั้นต่ำ 3-4 แสนล้านบาท โดยงบประมาณส่วนนี้ให้นำมาจากกองทุนหมุนเวียนนอกงบประมาณต่างๆ ที่ไม่จำเป็น มาจากการเบิกจ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลดการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นลดการดูงานต่างประเทศของผู้บริหารในองค์กรของรัฐที่ไม่จำเป็น รวมทั้งต้องมีการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้ามากขึ้น หากสามารถจัดการงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นพร้อมกับจัดเก็บภาษีทรัพย์สินได้เพิ่มขึ้น การจ่ายเบี้ยยังชีพหรือบำนาญผู้สูงอายุ 2,000-3,000 บาทต่อเดือน จะสามารถทำได้โดยไม่เกิดความเสี่ยงเรื่องฐานะการคลัง
ทั้งนี้ หากรัฐบาลใหม่วางเป้าหมายต้องการให้ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการที่ดีขึ้นย่อมทำได้ แต่ต้องมีการปฏิรูประบบการคลังใหม่และต้องปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัยเป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งประเทศรัฐสวัสดิการส่วนใหญ่ในยุโรปมักเป็นประเทศที่มีระบบราชการหรือระบบรัฐการที่ใหญ่ ต้องมีระบบราชการและระบบการเมืองที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นรัฐสวัสดิการที่ล้มเหลวหรือประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินการคลัง เกิดวิกฤตทางการคลังนำไปสู่การลดขนาดของระบบราชการและลดสวัสดิการของประชาชนในที่สุด
“ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปใต้และฝรั่งเศส และเมื่อมีการลดสวัสดิการก็จะเกิดการชุมนุมต่อต้านเกิดความไม่สงบขึ้นมาในสังคม เมื่อปีงบประมาณ 2564 รัฐบาลใช้งบกว่า 3 แสนล้านบาท เพื่อเป็นเงินบำนาญข้าราชการ มีอดีตข้าราชการที่ได้รับสิทธิ์ 9.5 แสนคน หรือคิดเป็นเงินบำนาญเฉลี่ย 2.6 หมื่นบาท/คน/เดือน แต่ผู้สูงอายุไทย11 ล้านคน ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพียงเดือนละ 600-1,000 บาทต่อเดือน และจะใช้เงินงบประมาณในปี พ.ศ. 2567 ประมาณ 9 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำของผู้สูงอายุกลุ่มหนึ่งและผู้สูงอายุอีกกลุ่มหนึ่ง” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ระบบรัฐสวัสดิการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ แต่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เลย คือ สังคมสวัสดิการที่ต้องทำให้สถาบันครอบครัวและระบบชุมชนมีความเข้มแข็ง การสร้างและการพัฒนาสังคมสวัสดิการซึ่งเป็นระบบสวัสดิการที่หลากหลายเปิดกว้างเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมีการจัดการในหลายรูปแบบทั้งเอกภาคี ทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี ตามแต่ลักษณะของผู้จัดสวัสดิการ
ซึ่งสามารถดำเนินการเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.กำหนดการสร้างสังคมสวัสดิการให้เป็นวาระแห่งชาติ สังคมสวัสดิการ มีความหมายที่แตกต่างไปจากรัฐสวัสดิการ (Welfare State) เพราะรัฐสวัสดิการโดยทั่วไปเป็นหน้าที่ของรัฐ ภาครัฐต้องขยายใหญ่ขึ้น อาจไม่เหมาะกับไทยอย่างน้อยในระยะสั้นที่ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องฐานะทางการคลัง รัฐสวัสดิการเป็นการจัดสวัสดิการทั่วหน้าและทั่วด้านโดยรัฐ แต่สังคมสวัสดิการมีสวัสดิการทางเลือกหลากหลายจากทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการถ้วนหน้า
2.สร้างภาคีสังคมสวัสดิการจากภาคส่วนต่างๆ ของสังคมใน 3 รูปแบบ ได้แก่ สวัสดิการโดยรัฐถือเป็นสิทธิพื้นฐานของสังคมที่จะลดความแตกต่างทางสังคม และเศรษฐกิจและการลดช่องว่างความสัมพันธ์ไม่เสมอภาคอันเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อไม่ได้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในสังคม สวัสดิการโดยรัฐประกอบด้วย 3 ส่วน คือ การบริการสังคม การประกันสังคม และการสงเคราะห์สังคม หรือการช่วยเหลือทางสังคม
แนวทางการสร้างสวัสดิการโดยรัฐให้กว้างขวางครอบคลุม สามารถดำเนินการได้โดยการจัดการงบประมาณโดยการกำหนดเป้าหมายในการจัดทำงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ให้ถึงมือคนจน การกระจายอำนาจจากราชการให้องค์กรประชาชนเพื่อทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถจัดสวัสดิการในบางประเภท การพัฒนาฐานข้อมูลระดับพื้นที่ และข้อมูลจุลภาคในระดับชุมชน/ท้องถิ่น
การคลังเพื่อการกระจายรายได้โดยปรับปรุงการจัดเก็บภาษีทั้งอัตราภาษีและประเภทภาษี รวมถึงการกระจายระบบงบประมาณไปสู่ระบบการคลังท้องถิ่น การจัดให้มีระบบความมั่นคงทางสังคม (หรือระบบการประกันสังคม) เพื่อลดความเสี่ยงในชีวิตของคน เช่น ความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงในอาชีพการงาน ซึ่งควรมีลักษณะถ้วนทั่ว
3.สวัสดิการโดยภาคธุรกิจ นอกจากสวัสดิการจากรัฐตามกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ภาคธุรกิจก็สามารถจัดสวัสดิการให้กับแรงงานลูกจ้างและแรงงานที่คล้ายลูกจ้าง (เช่น เกษตรกรภายใต้พันธสัญญา และผู้รับงานไปทำที่บ้าน) ได้โดยผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบของทางราชการใน 3 ด้าน คือ ขยายการคุ้มครองแรงงานทั่วหน้า การประกันสังคมถ้วนหน้าครอบคลุมทั้งแรงงานภายในและนอกระบบที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจโดยตรง และสวัสดิการแรงงานในลักษณะอื่นๆ เช่น ที่พัก อาหารกลางวันรถรับ-ส่ง เป็นต้น
และ 4.สวัสดิการโดยชุมชน รูปแบบการจัดสวัสดิการสำหรับกลุ่มนี้ ได้แก่ การที่รัฐส่งเสริมและสนับสนุนโครงการที่ชุมชนร่วมกันจัดทำขึ้น กล่าวคือ ขยายผลสวัสดิการบนฐานทรัพยากรและวัฒนธรรมให้กว้างขวาง และการมีส่วนร่วมจากภาคชุมชน ครัวเรือน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยส่วนกลางจัดทำกฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินการในระดับพื้นที่
สนับสนุนสถาบันแรงงานที่ไม่เป็นทางการเพื่อทำงานคู่ขนานไปกับระบบสหภาพแรงงานไม่ติดยึดเพียงกรอบการทำงานของระบบสหภาพ และส่งเสริมให้การจัดตั้งเครือข่ายแรงงานนอกระบบร่วมกับแรงงานในระบบภาคต่างๆ ส่งเสริมงบประมาณเพื่อการส่งเสริมสถาบันสวัสดิการชุมชน โดยสนับสนุนให้ภาคประชาชนทั้งในรูปแบบกลุ่ม องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิ เป็นเจ้าภาพในการจัดสวัสดิการ โดยรัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและจัดงบประมาณสมทบกองทุนสวัสดิการที่กลุ่มและองค์กรเหล่านี้จัดทำขึ้นสวัสดิการอื่นๆ
“เช่น ปรับกระบวนการทำงานของสถาบันและระบบสถานสงเคราะห์ ไม่ให้เป็นกลายเป็น การกระทำแบบซ้ำซ้อน พร้อมกับส่งเสริมให้ผู้ด้อยโอกาสและด้อยสมรรถนะดำเนินชีวิตอิสระ เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเองให้ยืนอยู่ได้ในสังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้พิการ คนชรา เหยื่อผู้ถูกกระทำจากความรุนแรง เป็นต้น” กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ. กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี