สื่อนอกตีข่าว
กราดยิงในไทยเกิดขึ้นน้อย
ห่วงความรุนแรงจากปืน
สื่อต่างประเทศต่างรายงานข่าวเหตุกราดยิงในห้างดังใจกลางกรุงเทพฯเมืองหลวงไทย มองเกิดขึ้นน้อย แต่ห่วงปัญหาความรุนแรงจากอาวุธปืนในไทยที่พบบ่อยครั้ง อ้างอิงข้อมูลคนไทยทุกๆ 100 คน มีอาวุธปืน 15 คน
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม สื่อต่างประเทศรายงานถึงเหตุการณ์เด็กชายวัย 14 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ใจกลาง กทม.เมืองหลวงประเทศไทย โดยสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว 14-year-old boy arrested after deadly Thai shopping mall shooting ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ช่วงแรกมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย แต่ต่อมาได้แก้ไขโดยยืนยันผู้เสียชีวิตที่ 2 ราย เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเป็นชาวจีน 1 ราย และชาวเมียนมา 1 ราย หลายคนบรรยายถึงเหตุการณ์วุ่นวายของพนักงานและนักช้อปที่พยายามหลบหนีออกจากห้าง ขณะที่เกิดเหตุขึ้น อาทิ Shir Yahav วัย 26 ปี กล่าวว่า เหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที ตนเห็นผู้คนวิ่ง แต่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตามคนเหล่านั้นไปก็ได้ยินเสียงปืน 6-7 นัด จึงไปหลบในร้านค้าแล้วล็อกประตู
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบก็พบว่าปืนของผู้ก่อเหตุยังมีกระสุนอยู่ขณะที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ได้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังเป็นเด็ก แต่เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับพ่อแม่ของผู้ก่อเหตุแล้ว โดยผู้ก่อเหตุเป็นผู้ป่วยจิตเวช มีประวัติเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนั้นยังกล่าวชื่นชมทางห้างสรรพสินค้า ที่สามารถรับมือเหตุระทึกขวัญครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อสหรัฐฯ ดังกล่าว ยังให้ความสนใจกับประเด็นการเข้าถึงอาวุธปืนในประเทศไทย โดยอ้างอิงจากองค์กรสำรวจอาวุธปืนขนาดเล็ก (Small Arms Survey-SAS) ที่มีสำนักงานในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า ในปี 2560 คนไทย 10.3 คน มีอาวุธปืนในครอบครอง หรือคิดเป็นสัดส่วนประชากรทุกๆ 100 คน จะพบคนมีปืนได้ 15 คน ขณะที่จำนวนปืนที่จดทะเบียนครอบครองอย่างถูกกฎหมายอยู่ที่ 6.2 ล้านกระบอก
ส่วนรายงานของสถาบันเมตริกและการประเมินด้านสุขภาพ (IHME) จากฐานข้อมูลภาระโรคทั่วโลกประจำปี 2562 ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีสถิติการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รองจากฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ดี เหตุกราดยิงในไทยเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2565 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 36 ราย จากการโจมตีด้วยปืนและมีด ที่ศูนย์ดูแลเด็กเล็กใน จ.หนองบัวลำภู ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประเทศ
ขณะที่ The Telegraph นสพ.ท้องถิ่นในเมืองกัลกัตตาของอินเดีย เสนอข่าว 14-year-old with a gun opens fire at a luxury shopping mall in downtown Bangkok, killing three ระบุว่า เหตุกราดยิงเกิดขึ้นน้อยมากในประเทศไทย ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนค่อนข้างเข้มงวด ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเด็กอายุ 14 ปี ผู้ก่อเหตุนั้นเข้าถึงอาวุธปืนได้อย่างไร เพราะผู้ซื้ออาวุธปืนได้จะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปี ผ่านการตรวจสอบประวัติและระบุเหตุผลในการครอบครอง
สำหรับห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนตั้งอยู่ใจกลาง กทม.ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นห้างสรรพสินค้าหรูที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ เหตุกราดยิงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ โดยเหตุโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 3ตุลาคม2566 เกือบ1ปีพอดีหลังเหตุอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีอาวุธปืนและมีด ก่อเหตุในศูนย์รับเลี้ยงเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 36ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 24 ราย ถือเป็นเหตุสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดโดยผู้กระทำความผิดเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของไทย ทำให้เกิดการถกเถียงกันว่ากฎหมายอาวุธปืนควรเข้มงวดหรือไม่
เบื้องต้นยังไม่ทราบแรงจูงใจของเด็กชายผู้ก่อเหตุที่เพิ่งมีอายุ 14 ปี พบคลิปวิดีโอขณะที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว เผยให้เห็นเด็กชายสวมแว่นตา สวมหมวกแก๊ปมีลายธงชาติสหรัฐฯสวมเสื้อยืดโปโลสีดำ และกางเกงขาสั้นที่มีเลือดกระเด็นอยู่ ด้าน พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งห้างสรรพสินค้าดังกล่าวจำหน่ายสินค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์ และรถยนต์หรูหรา รวมถึงมีโรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และโรงแรมระดับ 5 ดาว
ด้านสำนักข่าวอัลจาซีรา ของกาตาร์ เสนอข่าว Thailand’s Bangkok mall shooting: 2 dead, suspect arrested at Siam Paragon ระบุว่า คลิปวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจสอบที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เผยให้เห็นเหตุการณ์วุ่นวาย ผู้คน รวมถึงเด็กๆ วิ่งออกจากประตูห้างสรรพสินค้า ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พาพวกเขาออกไป คลิปวิดีโอหนึ่งแสดงให้เห็นผู้คนกำลังคลุมตัวอยู่ในห้องมืดภายในร้านอาหาร ขณะเดียวกัน รายการสดทางโทรทัศน์เผยให้เห็นการจราจรที่หนาแน่นด้านนอกห้าง ท่ามกลางฝนตกหนัก
หลิวซีหยิง (Liu Shiying) นักท่องเที่ยวชาวจีน กล่าวว่า เห็นผู้คนวิ่งหนีและบอกว่ามีคนเปิดฉากยิง ตนได้ยินเสียงปืนและเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น และไฟในห้างสรรพสินค้าก็ดับลง จึงต้องหาที่ซ่อน กระทั่งสามารถออกจากห้างสรรพสินค้าได้ในเวลาต่อมา ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานแล้วว่าหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตรวมถึงผู้บาดเจ็บ
สื่อกาตาร์ย้ำว่าแม้เหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนจะเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย แต่การก่อเหตุในลักษณะกราดยิงนั้นเกิดขึ้นน้อยมากโดยก่อนหน้านี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียง2ครั้ง ซึ่งทั้ง2ครั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ปี 2563 ผู้ก่อเหตุเป็นทหาร ก่อเหตุใน 4 จุด เขตเมืองของ จ.นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 29 ราย และบาดเจ็บ 57 ราย และในปี 2565 อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อเหตุในศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ จ.หนองบัวลำภู มีเด็กเสียชีวิต 22 ราย
ขณะเดียวกัน นสพ.The Jerusalem Post ของอิสราเอล เสนอข่าว Suspected gunman in Thai mall shooting modified handgun designed to fire blanks – police ระบุว่า เด็กชายวัย 14 ปี ที่ก่อเหตุกราดยิงในห้างดังใจกลาง กทม.เมื่อช่วงเย็นวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ก่อนจะถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ได้ พบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืน “แบลงก์กัน (Blank Gun)” ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อยิงจะมีเพียงแสงและเสียงเท่านั้น แต่ได้ถูกนำไปดัดแปลงให้สามารถยิงกระสุนจริงได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี