ทำบุญ‘มาฆบูชา’
พุทธศาสนิกจัดพิธีทั่วไทย
นครศรีฯแห่ผ้าขึ้นพระธาตุ
ผู้ว่าฯชัชชาติ นำชาวกรุงเทพฯ ร่วม จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องใน “วันมาฆบูชา” ประจำปี 2567 เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนาขณะที่ทั่วไทยร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางพุทธศาสนาทั่วหน้า
เมื่อเช้าวันที่ วันที่ 24 ก.พ.67 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 67 รูป เนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 2567 ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดขึ้นเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา อีกทั้งเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย โดยภายในงานมีคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร บุคลากรในสังกัดกรุงเทพมหานคร และประชาชน ร่วมพิธี ณ บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า
สำหรับวันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าครั้งนั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่ง ว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต”
วันมาฆบูชาเป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยจะมีการประกอบพิธีต่างๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวลโดยมีพุทธศาสนิกชนจัดกิจกรรมทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ จากอินเดีย ประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ จะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการบูชา ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม ที่ท้องสนามหลวง ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐานในส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัด ได้แก่ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่, วัดมหาวนาราม จ.อุบลราชธานี และวัดมหาธาตุวชิรมงคล จ.กระบี่ ซึ่งจะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชนที่เข้ากราบสักการะ
ผู้สื่อข่าวรายงานตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นคืน 14 ค่ำเดือนสาม หรือคืนก่อนเข้าสู่วันมาฆบูชา หรือมาฆฤกษ์ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 3 พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ต่างหลั่งไหลเดินทางมาร่วมสักการะพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุมามากกว่า 1 พันปี เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแต่โบราณจะเรียกว่าในภูมิภาคคาบสมุทรทะเลใต้ หลายครอบครัวเดินทางมาพักค้างบริเวณรอบวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อร่วมพิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
โดยการแห่ผ้าขึ้นธาตุพุทธศาสนิกชนจะนำเอาริ้วผ้าสีเหลืองเป็นหลักเทินไว้เหนือศีรษะกระทำทักษิณาวัตรรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ จากนั้นนำผ้านั้นไปห่มสักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์และองค์เจดีย์บริเวณจนละลานตาไปทั่วบริเวณ ต้นธารของประเพณีนี้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเมื่อครั้งราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองนครศรีธรรมราช และบรรดาหัวเมืองทะเลใต้ชาวบ้านบริเวณเมืองปากพนัง แต่เดิมเรียกว่าเมืองเบี้ยซัดได้พบกับผ้าพระบฎที่ได้ถูกวาดภาพพุทธประวัติไว้บนผ้าผืนนั้น เมื่อเก็บได้ชาวบ้านจึงนำมาทำความสะอาด และนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช จากนั้นได้รับสั่งให้นำผ้าพระบฎนั้นไปถวายเป็นเครื่องพุทธบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ จนกลายเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและน่าเชื่อว่าเป็นเพียงที่เดียวในโลกที่ยังคงสืบสานประเพณีนี้มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังเป็นคุณลักษณะโดดเด่นที่เรียกว่า “ปูชนียสถานที่ยังคงมีการสืบสานมีชีวิตสืบต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน” เป็นคุณสมบัติสำคัญในการเป็นมรดกโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี