เคลียร์ครอบครองปรปักษ์!‘ทนายเดชา’เปิดอีกมุมปม‘คู่กรณี’ผูกคอดับ ‘หลานอากู๋’รับช็อก
26 กุมภาพันธ์ 2567 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ และทนายความฝ่าย “อากู๋” เปิดแถลงข่าวที่สำนักงานทนายเดชา ย่านรามอินทรา กรุงเทพฯ กรณีคดีบุกรุกบ้าน ซึ่งทนายความฝ่ายผู้บุกรุกอ้างเรื่องการครอบครองปรปักษ์ และล่าสุดยังอ้างด้วยว่าเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว รวมถึงตน ใช้สื่อมวลชนกดดันจนทำให้ลูกความตัดสินใจฆ่าตัวตาย ว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนทิศทางของคดีความ เนื่องจากคู่กรณีรวม 5 คน ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน หลังจากนี้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งออกมาได้ 3 แบบ คือ สั่งฟ้องทั้งหมด หรือสั่งสอบเพิ่มเติม หรือสั่งไม่ฟ้อง
ส่วนเรื่องความเครียดจนทำให้หนึ่งในฝ่ายผู้บุกรุกฆ่าตัวตาย เท่าที่ตนทราบ สามีของผู้ตาย รวมถึงสามีของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งได้ติดต่อมาที่ตน บอกว่าสำนึกผิดและพร้อมชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงถอนคำร้องเรื่องการครอบครองปรปักษ์ออกจากสารบบความ และจริงๆคนที่ทำคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ก็ไม่ใช่ผู้ตาย แต่เป็นพี่สาวของผู้ตาย ซึ่งตนพยายามเป็นคนกลางระหว่างฝ่ายเจ้าของบ้านกับฝ่ายผู้บุกรุก แต่ระหว่างที่เรื่องยังไม่จบก็ทำให้เกิดความเครียด แต่ตอนที่คุยกัน สามีของผู้ตายก็ไม่ได้บอกตนเรื่องนี้ แต่ตัวผู้ตายมีการส่งขอความไปบอกคู่กรณีขอให้ยกโทษให้
“มีการส่งข้อความสุดท้าย ผมก็ไม่ได้เอามาแสดง ส่งข้อความสุดท้ายทำนองว่าทำบุญให้คนป่วย คือหมายถึงว่าเหมือนให้ยกโทษเขา ข้อความนี้มีเป็นแชทไลน์ ส่งมาก่อนที่จะผูกคอตายเป็นข่าว เหมือนทำนองว่าเขามีโรคประจำตัวอะไร เราไม่ทราบ เหมือนทำบุญให้เขา เขาพยายามที่จะขอโทษ แสดงความจริงใจ ผู้ตายพยายามจะขอโทษ เหมือนให้อภัยเขา” นายเดชา กล่าว
นายเดชา กล่าวต่อว่า ส่วนที่ฝ่ายตนถูกกล่าวหาว่าใช้สื่อมวลชนกดดัน เรื่องนี้ตอนที่มีเรื่องกันใหม่ๆ เจ้าของบ้านเขาก็ไปร้องเรียนสื่อก่อนที่จะมาหาตน ซึ่งตนก็แนะนำให้ไปแจ้งความเพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหารวม 5 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตไปด้วย ดังนั้นตนอยากบอกว่าการร้องเรียนสื่อถือเป็นเรื่องปกติ เพราะหากไปแจ้งความตามปกติตำรวจจะทำงานช้า เรื่องนี้เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว ดังนั้นการไปร้องเรียนกับสื่อมวลชนที่เป็นปากเป็นเสียงจึงเป็นเรื่องปกติ เป็นการใช้สิทธิโดยชอบ และการไปดำเนินคดีครั้งแรกก็เป็นข่าวตามปกติ แต่ต่อมามีครั้งที่ 2 มีการไปแจ้งความและไปออกรายการโทรทัศน์
ขณะที่ผู้ตายที่เป็นคู่กรณีก็มีการโฟนอินไปให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์เช่นกัน ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่มีเจตนายึดบ้านไว้และพร้อมจะออกไป พิธีกรรายการก็พยายามจะช่วยเจรจา สื่อมวลชนด้วยกันก็คงทราบ ดังนั้นจะเห็นว่าไม่มีการกดดันแต่อย่างใด และการที่ทนายความฝ่ายคู่กรณีให้ข้อมูลเช่นนั้นถือว่าเป็นการพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบ
“เราเป็นทนายความ เราต้องนึกถึงบาปบุญคุณโทษศีลธรรม เราควรจะถามกลับไปว่า ทุกวันนี้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเขาหรือเปล่า คุณไปแนะนำให้ทางครอบครัวเขาบุกรุกเข้ามาในบ้านเป็นครั้งที่ 2 หรือเปล่า เอาป้ายที่มีข้อความว่าบ้านนี้เป็นของใครแล้วมาติด แนะนำให้เขาตัดกุญแจเข้ามาในบ้านหลังนี้หรือเปล่า ทนายแบบนี้เป็นทนายที่มีคุณธรรมไหม ผมถามกลับไปนะว่าวันนี้ลูกความคุณตายเพราะตัวคุณเองหรือเพราะสื่อ” นายเดชา กล่าว
นายเดชา กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ทนายความชุดแรกของฝ่ายคู่กรณีได้พยายามเจรจาไกล่เกลี่ย ตกลงค่าเสียหายจนแทบจะจบเรื่องอยู่แล้ว และไม่ได้แนะนำให้ฝ่ายผู้บุกรุกสู้คดี แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนตัวทนายความ ตนจึงสงสัยว่าทนายความคนใหม่แนะนำให้ลูกความเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกหรือไม่ เพราะเท่าที่ตนได้พูดคุยกับสามีของผู้ตาย ก็ทราบว่าผู้ตายเชื่อทนายความคนใหม่ ตนจึงขอฝากถึงทนายความทุกคนด้วยว่า ต้องคำนึงถึงจรรยาบรรณวิชาชีพและบาปบุญคุณโทษ คุณธรรมต้องนำกฎหมาย
“ผู้ตายอย่าไปซ้ำเติมเขาเลย เขาเสียชีวิตไปแล้ว ผมและอากู๋ได้อโหสิกรรม ไม่ติดใจอะไรผู้ตาย ก็ขอร้องอย่าไปซ้ำเติมเขา แต่ทนายความคนนี้ควรต้องรับผิดชอบอะไรต่อลูกความไหม ในการให้คำแนะนำแบบนี้ แทนที่คุณจะให้เขาไกล่เกลี่ยตกลงกัน เลิกรากันไป เข้าไปอยู่บ้านเขา 6 ปี ก็เยียวยาชดใช้กันไป วันนั้นสามีคนตายก็มาตกลงเยียวยาจะจบอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่ามีทนายความบางคน คนไหนก็ไม่รู้ กลับไปแนะนำให้เขาสู้คดี บอกว่าอย่างไรก็ชนะแน่ มันจะชนะอย่างไร? หลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว ดาวเทียม กูเกิลสตรีท มันอยู่ไม่ถึง” นายเดชา กล่าว
ด้านนายซัน หลานชายของอากู๋ เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและญาติพี่น้อง เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด โดยฝ่ายตนพร้อมเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่ชั้นศาลและไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ส่วนที่ทนายความฝ่ายคู่กรณีกล่าวหาว่าฝ่ายตนใช้อำนาจสื่อกดดัน ตนก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่มีผู้เสียชีวิต ทั้งนี้หากปัจจุบันยังไม่มีใครเสียชีวิต ฝ่ายตนก็กำลังพูดคุยกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรก็ต่อไป เพราะเห็นฝ่ายคู่กรณีก็ไปที่ศูนย์เจรจาเพื่อยื่นเรื่องเจรจากับฝ่ายตน รวมถึงจะถอนฟ้องเรื่องการครอบครองปรปักษ์ แต่เท่าที่ตรวจสอบพบก็ว่ายังไม่ได้ถอน
“ส่วนคำถามว่าคู่กรณีมีความพยายามขอเจรจาหรือไม่ ผมยอมรับว่ามีความพยายามติดต่อมา แต่ให้พูดตรงๆคือเวลานั้นยังโกรธอยู่เพราะเป็นการบุกรุกซ้ำซ้อน แต่ปัจจุบันถือว่าผ่านจุดนั้นมาแล้ว หลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป ส่วนคำถามว่าในอนาคตจะมีการขายบ้านหลังที่เป็นปัญหาให้กับฝ่ายคู่กรณีหรือไม่ ผมต้องถามอากู๋ที่เป็นเจ้าของบ้านก่อน แต่โดยส่วนตัวมองว่าเลยจุดนั้นมาแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ยังช็อกกันอยู่ ยังทำอะไรกันไม่ถูก” นายซัน กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี